Close this window

Protege ชดเชยรอบไม่ทำงานตอนเข้าเกียร์
จากกรณีรอบเครื่องตกตอนเข้าเกียร์ ผมได้ทดลองทำดังนี้
เสียบปลั๊กชดเชยรอบตามปรกติ
สตาร์ทรถ รอจนเครื่องร้อนรอบเดินเบา750
ยังไม่เข้าเกียร์ หมุนพวงมาลัย รอบขึ้นไป 800 แล้วลงมา 750
ยังไม่เข้าเกียร์ เปิดแอร์ รอบขึ้นไป 850 แล้วลงมา 750
ปิดแอร์ ไม่หมุนพวงมาลัย เหยียบเบรคเข้าเกียร์D รอบไม่ขึ้น รอบตกลงมา600-700

ถอดปลั๊กชดเชยรอบออก
ยังไม่เข้าเกียร์ หมุนพวงมาลัย รอบไม่ขึ้น รอบตกลงมา500
ยังไม่เข้าเกียร์ เปิดแอร์ รอบไม่ขึ้น รอบตกลงมาจนดับ
ปิดแอร์ ไม่หมุนพวงมาลัย เหยียบเบรคเข้าเกียร์D รอบไม่ขึ้น รอบตกลงมา600-650

สังเกตุได้ว่าชดเชยรอบมันไม่ทำงานตอนเข้าเกียร์

ลองถอดปลั๊กSpeed sensor บริเวณเกียร์ออก ปรากฎว่าเหยียบเบรคเข้าเกียร์D รอบตกลงมา700

แบบนี้มันน่าจะเป็นที่ตัวชดเชยรอบไหม
สิ่งที่เปลี่ยนมาแล้ว air flow,คอยด์พร้อมสายหัวเทียน,แคมชาปเซ็นเซอร์,O2 sensor,น้ำมันเกียร์
ไล่เปลี่ยนมาจะครบและ ตอนนี้เลยมีอะไหล่เพียบเลย อิอิเก็บไว้ใช้ตอนมันพัง
โดย: A dudee   วันที่: 10 Aug 2012 - 15:17

หน้าที่: [1]   2

 ความคิดเห็นที่: 1 / 23 : 731976
โดย: srithanon
เล่นเหวี่ยงแหหาปลา แบบนี้ก็ได้ความรู้ไปในตัวเหมือนกัน เอาอย่างนี้ลองไปทำการตรวจวัดกำลังอัดของแต่ละกระบอกสูบ ว่ามีกำลังอัดเท่ากันหรือไม่ ( ในกรณีที่เครื่องยนต์ใช้วาวล์ไฮโดรลิคส์) ที่ให้วัดกำลังแต่ละกระบอกสูบ ก็เพราะว่า การที่จะให้รอบเดินเบาของเครื่องยนต์ทำงานได้สมบูรณ์ จะต้องตรวจสอบว่า เครื่องยนต์ มีกำลังอัดแต่ละสูบตกลงหรือไม่

การที่กำลังอัดตกลง มันหมายถึงมีความผิดปกติ ของบ่าวาวล์ ปิดไม่สนิท มีกำลังอัดรั่วได้ หากเครื่องยนต์ที่ไม่ใช้ระบบวาวล์แบบไฮโดรลิคส์ ก็ลองตั้งวาวล์ดู อาการที่รอบเดินเบาเครื่องยนต์ตกเมื่อมีโหลด บางที่ก็หายกลับมาปกติทันที
สำหรับเรื่องระบบไฟ และระบบน้ำมัน ตัดออกไปได้ เพราะรอบอัตราเร่งของรถคุณปกติ ก้เหลือเรื่องกำลังอัดของเครื่องยนต์เท่านั้นครับ พวกเซ็ฯเซอร์ต่างๆ คุณก็บรรเลงเปลี่ยนไปเกือบหมดแล้ว

วาวล์ไฮโดรลิคส์ ถึงจะเป็นวางล์ที่ไม่ต้องปรับตั้งก็จริง แต่ถ้าหากบ่าวาวล์เกิดปิดไม่สนิท ก็เข้าดงเขข้าป่าได้เช่นกันครับ ทางที่ดีก็ควรเทสเรื่องกำลังอัดของแต่ละสูบดู หากพบว่า บางสูบกำลังตกกว่ากระบอกสูบขข้างเคียง อาจจะพบสองในสี่ก็ได้ หากเป็นดังนี้ อยากให้หายขาด ไม่ใช่ยกเครื่องโยนทิ้งก็หาย ก้งานเข้า ถอดฝาสูบไปทำการเจียร์บ่าวาวล์ เสียใหม่ ไหนๆเปิดฝาสูบแล้ว อำไรที่ควรจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปเลย เช่นยางซีลวาวล์(ตีนวาวล์) ก้เปลี่ยนไปซะ
คิดว่าหลังจากจัดการกับเรื่องบ่าวาวล์แล้วคงจะเป็นปกติ แต่ก็อย่าลืมดูว่าแหวนลูกสบ ว่ามันหลวมบ้างหรือไม่ ให้ช่างตรวจดูด้วยครับ.......srithanon
วันที่: 10 Aug 12 - 16:10

 ความคิดเห็นที่: 2 / 23 : 731981
โดย: A dudee
เคยให้ช่างประภาส เช็ครตรวจวัดกำลังอัดของแต่ละกระบอกสูบแล้วครับก็ปรกติดีอยู่
เปลี่ยนจนเพลินเลยครับงานนี้
วันที่: 10 Aug 12 - 16:38

 ความคิดเห็นที่: 3 / 23 : 731986
โดย: Hero
ปัญหาน่าเบื่อจริงๆของเครื่องมาสด้า แต่ก่อนใช้เครื่อง 1.6 (โปรทีเจ้) ก็ซ่อมจนเบื่อไปแล้ว นี่เปลี่ยนมาเป็น FS ZE ก็ยังหนีไม่พ้น เข้าเกียร์รอบก็ตกเหมือนเดิม
วันที่: 10 Aug 12 - 17:04

 ความคิดเห็นที่: 4 / 23 : 732032
โดย: พจน์400
หายไวๆ นะครับ ,(การใช้งานผมก็ประมาณนี้ละครับ พอรับได้)
วันที่: 10 Aug 12 - 21:17

 ความคิดเห็นที่: 5 / 23 : 732058
โดย: Yut13
เปิดคู่มือดีกว่าดูตารางที่เขาลงไว้ คู่มือ Protege นี่ทำมาดีมากนะ
วันที่: 10 Aug 12 - 22:42

 ความคิดเห็นที่: 6 / 23 : 732111
โดย: Fujiwara Takumi
ลองเช็ค EGR ดูครับ เพราะว่าเจ้าตัวนี้ก็มีผลกับรอบเดินเบาของ Protege อาจมากกว่าลิ้นปีกผีเสื้อ / ISC valve อีก ท่านลองถอดมาล้างดูครับ น่าจะดีขึ้นครับ
วันที่: 11 Aug 12 - 07:42

 ความคิดเห็นที่: 7 / 23 : 732118
โดย: A dudee
ok ครับเดี๋ยวลองถอดมาทำความสะอาดดู ได้ผลยังไงจะมารายงานนะครับ
ตอนนี้ยังหา ตัวชดเชยรอบไม่ได้ ถ้าได้จะลองเอามาเปลี่ยนอีกตัว
เพราะสงสัยว่าตอนเหยีนบเบรถเข้าเกียร์ ถอดปลั๊กกะไม่ถอดปลั๊กตัวชดเชยรอบ
ไม่มีความต่างอะไรกันเลย เป็นไปได้ไหมครับว่า ตัวชดเชยรอบมันทำงานไม่ปรกติ
ในบางช่วงของการทำงาน
วันที่: 11 Aug 12 - 09:02

 ความคิดเห็นที่: 8 / 23 : 732123
โดย: Fujiwara Takumi
นอกจากตัว EGR แล้ว ถ้ารอบของท่าน A dudee ไม่มีอการสวิงเลย เดินเบาปกติ แค่่ไม่ชดเชยรอบ ที่น่าสงสัยน่ามีแค่ ตัวชดเชย กับ ECU ครับ เพราะ ตัวชดเชยรอบเอาสัญญาณมาจากกล่อง ECU ครับ ตัวกล่องทำหน้าที่สั่งให้ชดเชยรอบด้วย อิอิ
วันที่: 11 Aug 12 - 09:15

 ความคิดเห็นที่: 9 / 23 : 732154
โดย: A dudee
ผลจากการล้าง EGR แล้ว ปรากฏว่าเข้าเกียร์รอบยังตกเหมือนเดิมเลย เดี๋ยวต้องลองเปลี่ยนตัวชดเชยรอบดู แล้วจะมารายงายผลนะครับ
แต่ตอนนี้ยังหาอะไรไม่ได้ อิอิ แบบนี้ก็ดีนะครับสนุกดี จริงๆอาการแบบนี้มันก็ขับได้ปรกติ แต่มันขัดอารม
อะไหล่มีไม่เสียหลายชิ้นมากๆ เก็บไว้ใช้ตอนมันเสียจะได้ไม่ต้องวิ่งมา ประมาณปีหน้าขายรถแล้ว
จะเอาอะไหร่พวกมาปล่อยให้เพื่อนๆนะครับ
วันที่: 11 Aug 12 - 10:48

 ความคิดเห็นที่: 10 / 23 : 732157
โดย: Fujiwara Takumi
วันที่: 11 Aug 12 - 10:51

 ความคิดเห็นที่: 11 / 23 : 732207
โดย: srithanon
น้องเจ้าของกระทู้ก็เล่นเปลี่ยนไปมากแล้ว ไม่รู้จะแนะนำอะไร เพราะไม่ได้เห็นของจริง และตรวจสอบด้วยตนเอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคาใจ เรื่ององศาไฟจุดระเบิด ไม่ทราบว่ารถรุ่นนี้ มีระบบไฟจุดระเบิดแบบไหน ยังใช้แบบจานจ่ายหรือเป็นระบบ ทวินคอยจุดระเบิด หากเป็นแบบมีจานจ่าย ลองปรับตั้งไฟใก้แก่ขึ้น อาจจะช่วยได้ แต่ถ้าหากเป็นระบบ ทวินคอยจุดระเบิดก็ยากหน่อย เพราะตั้งองศาการจุดระเบิดไม่ได้ นอกจากระบบการคอนโทรลของ ECU จะ advance timing การจุดระเบิดร่วงหน้า เมื่อเครื่องยนต์มีรอบอัตราเร่ง

หากจะทดลองก็ต้องมีการวงจรปรับระยะเวลาองศาการจุดระเบิด แบบที่เขาทำขายกันให้ใช้กับระบบน้ำ E80 หรือ E85 เพื่อตั้งไฟให้มีองศาการจุดระเบิดที่แก่ขึ้น จาก 10 องศาไป 5-6 องศา เพื่อให้เกิดกำลังอัดภายในกระบอกสูบที่มีกำลังอัดสูง เมื่อใช้กับค่าน้ำมันอ๊อกเทนสูง ( 104 องศา) เพื่อให่การจุดระเบิดที่สมบูรณ์ หลักการนี้นำมาใช้ำด้กับการทดลอง เรื่องการตั้งไฟองศาการจุดระเบิดได้

ผมเข้าใจว่า น่าจะมาจากความผิดปกติเรื่ององศาการจุดระเบิดด้วยนะครับ ตอบแบบนั่งเทียนไม่ชอบเหมือนกันครับ สู้วิเคราะห์การทำงานของระบบด้วยเครื่องมืออีเลคโทรนิคส์ จะสนุกกว่า สามารถที่จะนำเอาเจ้า Waveform arbitrary Function genertor มาเรียนแบบพัลส์ มมมุมองศาการจุดระเบิด ที่ปกติ แล้วให้มันสร้างสัญญาณพัลส์เรียนแบบ แล้วป้อนแทนการทำงานของแคร้งชาร์ปเซ็นเซอร์ ของจริง เพื่อตรวจดูการจุดระเบิด ว่ามันสามารถจุดระเบิดได้สมบูร์ ที่กี่องศา เพราะเราสามารถปรับช่วงเวลาองศาการจุดระเบิดได้ตามใจที่เราต้องการ ว่าจะให้มีความกว้างของพัลส์ ที่เป็นสัญญาณ มมุมองศา ที่เวลาเท่าใด ให้จุดระเบิดช้ากว่าเดิมหรือเร็วกว่าเดิมก็ทำได้ เป็นการเทสการทำงานของระบบเครื่องยนต์ในขณะนั้น ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องมุมองศาการจุดระเบิดหรือไม่

หากว่าทดสอบแล้วแก้ปัญหาได้ ก็จะได้หาข้อพกพร่องของระบบได้ ว่าส่วนไหนบกพร่อง และจะต้องแก้ไข นี้คือหลัการในการตรวจสอบวิเคราะห์วงจร ของระบบการคอนโทรลเครื่องยนต์ของระบบ ECU ก็ตรวจสอบกันเป็นภาคๆไป ก็จะพบความจิงกับปัญหาที่เกิดขึ้นครับ......srithanon
วันที่: 11 Aug 12 - 14:07

 ความคิดเห็นที่: 12 / 23 : 732220
โดย: F G
อาการเเป็นเหมือนกันเลย ทุกอย่างทำงานหมด ไม่ว่าจะหมุนจะเปิดแอร์ ชดเชยรอบก็ทำงานหมด
แต่พอใส่เกียร์ และ ไม่เปิดแอร์ ตัวชดเชยจะไม่ทำงาน แถมรอบตก อีกตั่งหาก แต่พอเปิดแอร์ และใส่เกียร์ กับทำงาน ซะงั้น พอลองจั้ม TEN & GND ตั่งรอบโดยไม่เคลียร์กล่อง ยิ่งไปกันใหญ่เลย

ผมเลย เคลียร์ แบตเตอร์รี่ ให้ ECU มันลืมๆๆ ทุกอย่างที่ผ่านมา
แล้ว จั้ม TEN & GND ผมใช้วิธี คือ
1.รอให้เครื่องร้อน ดับเครื่องถอดแบต เคลียกล่อง
2.หลังจาก ECU มันลืมทุกอย่างแล้ว ก็จั้ม TEN & GND ถอดปลั๊ก ตัวชดเชยรอบ ออก
3.สตาร์ทเครื่อง ตั่งรอบเครื่อง ให้ตรงกับตำแหน่ง ที่ไม่มีโหลดอะไรเลย รอบมันเคยเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ที่ ไม่ได้จั้ม TEN & GND ผมจะตั่งให้ตรงตำแหน่งนั้น ซึ่งก็ คือ 750 รอบ
4.(ยังจั้ม TEN & GND ) หลังจาดตั่งรอบ เสร็จ ไม่ต้องดับเครื่องทิ้งมันไว้แบบนั้นแหละ สัก 10 นาที ให้กล่องอ่านค่าปกติ ของรอบเดินเบา นั่งจับเวลาเลย
5.(ยังจั้ม TEN & GND ) ผมจะเปิดแอร์ ทั้งๆๆที่ไม่ได้ต่อปลั๊ก รอบเดินเบา ถ้ารถปกติ มันจะไม่ดับ รอบจะร่วงลงมา 650 500 ทิ้งไว้ ให้แอร์ ตัด สัก2-3 รอบ และ ปิดแอร์ หลังจากนั้น จะไล่ใส่เกียร์ D ตามด้วย R
ตอน ใส่ D ยังไม่ร่วงมาก จาก 750 ลงมา 700 แต่เมื่อใส่ R ร่วง ลงเห็นๆเกือบดับ แต่ก็ไม่ดับ ทำวนไป วนมาให้กล่องมันเรียนรู้ ว่า *_* ต้องหาอะไรมาช่วยกูนะกูไม่ไหว แล้วอะไรประมาณนี้ และผมยังทำเพิ่มด้วยการ ใส่เกียร์แล้วขับเลย (ยังจั้มTEN & GND) (ปลั๊กชดเชยรอบก็ยังไม่ได้ต่อ)
วน เข้า-ออก ซอย 1 กิโลเมตร ลองทั้งเข้าเกียร์ R ทั้ง เกียร์ D
หลังจากมาจอด ก็รอให้รอบนิ่งๆ แล้วดับเครื่อง ถอดจั้ม TEN & GND ออก สตาร์ทใหม่ ผมปรากฎว่าสอนงานมันได้ดี แต่ยังไม่เต็ม 100% ถ้าเทียบ ก็สัก 95% ลอง ใส่เกียร์ไม่เปิดแอร์ พระเจ้าจอร์จ มันชดเชยให้ จาก 750 ขึ้นมา เกือบๆ 770 แต่เด่งขึ้นไม่เยอะ ลองใหม่ ไม่ใส่เกียร์ เปิดแอร์
มันก็เด้งขึ้นให้ ถึง 800 คราวนี้ลอง หมุนพวงมาลัย มันก็ วืด วือ ตามรอบที่เราหมุน ถือว่าโอเค
เปิดทั้งแอร์ ใส่ทั้งเกียร์ รอบมันก็ขึ้นปกติ 800 ผลเป็นที่น่า โอเค จนถึงทุกวันนี้
ถามว่าทำไม่ใส่เกียร์แล้วรอบมันขึ้นมาให้น้อยจัง เพิ่มมาแค่ 20 เอง(ไม่เปิดแอร์) จิงๆๆ มันเด้งขึ้นเยอะมากนะ เพราะ ถ้าเดิมๆปกติ
ถ้าไม่มีตัวชดเชยรอบ เวลา เราเข้าเกียร์ แต่เดิมรอบ 750 เข้าเกียร์ ปุ๊บโหลดมันจะดึงร่วงลงมาทันที อย่างน้อยเลยก็จะอยู่ ที่ 700 รอบ หลังจากเข้าเกียร์ แต่นี่เด่งขึ้นไป 770 รอบ ผมว่ามันโอเคเลย
ลองทำแบบ ผมดูครับ ไม่หวง 55555
วันที่: 11 Aug 12 - 14:32

 ความคิดเห็นที่: 13 / 23 : 732256
โดย: A dudee
ขอบคุณครับพี่srithanon อ่านแล้วก็เข้าใจบ้างงงบ้างอะครับ อิอิ พอดีมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์กับไฟฟ้า
นิดหน่อย (จบวิศวะมา แต่ดันเป็นวิศวโยธา)
ขอบคุณ F G ครับ จะลองทำตามดูนะครับ
วันที่: 11 Aug 12 - 16:00

 ความคิดเห็นที่: 14 / 23 : 732258
โดย: A dudee
ขอถามอีกเรื่องครับ
จั้ม TEN & GND มันทำยังไงครับ
วันที่: 11 Aug 12 - 16:07

 ความคิดเห็นที่: 15 / 23 : 732261
โดย: Fujiwara Takumi
เสริมครับบางท่านที่เจอปัญหารอบเครื่องกับเจ้า MAZDA ยิ่งถ้าเป็นพวก Direct Coil ( อย่างท่าน A dudee จขกท. ผมดูจากรูปดิสเพลย์ อิอิ ถ้าไม่ใช่ขออภัย ) ข้อดี ของเจ้า Direct Coil คือจับเอาคอยล์จุดระเบิดมาไว้บนฝาสูบโดยตรง มันสามารถที่จะเปลี่ยนกระแสไฟ 12 โวลท์ ไปเป็นหมื่น ๆ โวลท์ได้โดยไม่ต้องชิงดีชิงเด่นกับสูบ อื่น ๆ เหมือนแบบจานจ่าย ทำให้ไม่ว่ามันจะหมุนเอื่อย ๆ ในรอบเดินเบาหรือเวลากระแทกคันเร่งจนชาฟท์แทบไหม้ที่เส้นเรดไลน์ ก็ยังอุ่นใจได้ว่าประกายไฟที่เขี้ยวหัวเทียนจะสม่ำเสมอ ไม่ตกหรือวูบหายไปที่ไหน มันดีกว่าจานจ่ายในเรื่องของการจ่ายไฟที่แม่นยำกว่า ลื่นกว่า อีกทั้งความต่อเนื่องในการจ่ายไฟก็ดีกว่าอีกด้วย

แต่ข้อเสียของมัน คือปริมาณค่าไฟของมันจะเซ็ทมาให้เหมาะกับสเปคของเครื่องยนต์เดิม ๆ มาแต่แรกเริ่ม การปรับเปลี่ยนค่าไฟจึงทำได้ค่อนข้างยาก หรือที่เรียกอีกอย่างก็คือ การปรับตั้งค่าไฟ ( จะให้อ่อนหรือแก่ ) จะต้องกระทำที่ Software ECU นั้นเอง ไม่สามารถปรับตั้งเองเหมือนจานจ่ายได้ เจ้า Direct Coil จึงเสียเปรียบจานจ่ายในการติดตั้งแก็สแบบ มิกซ์เซอร์ ครับ บางท่านอาจเคยเจอแก้ทุกอย่างรอบก็ยังไม่นิ่ง

ก็เพราะค่าของแก๊ส มันสูงกว่าค่าออกเทนของน้ำมัน 91/95 อยู่แล้ว( ของแก็สออกเทนจะอยู่ที่ 105 ) เมื่อท่านนำรถไปติดแก๊สถ้าระบบจานจ่ายต้องมีการปรับตั้งค่าไฟที่ตัวจานจ่ายใหม่เพื่อให้แก่มากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับค่าออกเทนของแก๊ส แต่ว่า Direct coil มันไม่สามารถที่จะปรับตั้งค่าไฟให้แก่ได้จึงค่อนข้างมีปัญหากับการใช้ระบบแก๊ส ส่งผลถึงความเรียบเนียนและรอบเครื่อง และอัตราเร่งที่ค่อนข้างด้อยลงไปกว่าการใช้น้ำมันมาก อีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง Backfire ทำให้ต้องไปแก้ไขที่ปลายเหตุแทน ไม่ว่าจะเป็น การปรับจูนที่ระบบแก๊ส เป็นต้น ฯ ทำให้บางท่านซ่อมเกี่ยวกับพวกรอบเดินเบาเบื่อไปเลยกับเครื่อง MAZDA ( แต่ผมชอบข้อดีของ Direct coil มากกกกกเลยครับ )แต่ท่าน ขจกท. ลองทำตาม 2 ท่านข้างบนดูครับน่าจะได้ผล ที่แนะแก้เกี่ยวกับ ECU ผมว่าน่าจะมีแค่ ตัวชดเชยรอบ กับ ECU นี่แหละ ที่น่าจะมีผล ว่าแต่ทำไมปีหน้าจะขายแล้วล่ะครับ ไม่อยากให้ท่านขายเลยอ่ะ
วันที่: 11 Aug 12 - 16:36

 ความคิดเห็นที่: 16 / 23 : 732292
โดย: A dudee
วันนี้ตอนเย็นเอาไปวิ่งก่อนที่จะจูนอะไรเพิ่มเติม คราวนี้จอดติดไฟแดงโดยเข้าเกียร์เหยียบเบรคไว้ ปิดแอร์
555 รอบมันไม่ตกซะงั้น เออมันก็แปลกนะ นึกไปนึกมาเออก็เนอะเวลาวิ่งๆมาเบรคติดไฟแดง
รอบมันก็ไม่ได้ตกทุกครั้งหนิหว่า บ้างครั้งก็ตกเยอะ บางครั้งก็ตกน้อย อืมเศร้าใจจริงๆ
วันที่: 11 Aug 12 - 19:58

 ความคิดเห็นที่: 17 / 23 : 732296
โดย: เดกไหม่หัดซน
ชักปลั๊กชดเชยรอบออก สตาร์ทใส่เกียร์ ก็น่าจะรู้ว่าตัวชดเชยมันทำงานป่าว ถ้าสังเกตุได้ว่ามันยังทำงาน ก็ไปไล่ปรับรอบเดินเบาใหม่ ของผมทำได้แค่ไม่ให้มันหล่นเกิน 50 รอบ กำลังอัดเหลือน้อย ได้ 800รอบ เวลาชดเชยแอร์กะ พวงมาลัย ใส่เกียร์ 750 แค่นี้ ตามสภาพคับ ขอให้หายไวๆนะคับ
วันที่: 11 Aug 12 - 20:26

 ความคิดเห็นที่: 18 / 23 : 732419
โดย: superdan
Potege 1.6 อาการเดียวกับ จขกท เลยครับแต่ผมสังเกตุเวลากดสวิทย์กระจกไฟฟ้าค้างใว้รอบจะตกและเครื่องสั่นด้วย ว่าจะลองหาไดชาร์ทมาเปลี่ยนดูก่อนครับ
วันที่: 12 Aug 12 - 08:29

 ความคิดเห็นที่: 19 / 23 : 732433
โดย: A dudee
คุณ superdan ผมว่ามันเป็นที่ชดเชยรอบนะครับ
วันที่: 12 Aug 12 - 09:51

 ความคิดเห็นที่: 20 / 23 : 732437
โดย: Fujiwara Takumi
นั้นสิ ท่าน superdan ครับ ผมก็ว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับไดชาร์ทนะครับอาการนี้ ที่ท่านแค่กดสวิทย์กระจกอ่ะครับ แต่ถ้าท่านสงสัยอยากทดสอบไดชาร์ทจริง ๆ
ก็เวลาท่านสตาร์ทเครื่องให้ท่านเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหลัก คือ แอร์ พร้อมเปิดไฟหน้าค้างไว้ด้วยยิ่งดี ครับ เอาดิจิตอลมิเตอร์ปรับเป็น DC โวลต์ วัดคร่อมระหว่างขั้วบวก และขั้วลบของแบตเตอรี่ค่าแรงดันไฟจากได ฯ ที่วัดได้ควรอยู่ระหว่าง 13.9 V – 14.5 V ถ้าต่ำกว่านี้แสดงว่าประสิทธิภาพการผลิตไฟของได ฯ เริ่มลดลงแล้วครับ และถ้าแรงดันไฟ ต่ำกว่า 13.5 V แสดงว่ามีอาการไดชาร์ทอ่อนจะส่งผลให้ไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้เพียงพอต่อความต้องการของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในรถ

แล้วทำไมต้องเปิดแอร์ขณะวัดทำไม เพราะว่าแอร์รถยนต์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟฟ้ามากที่สุดในรถครับ

ย้ำครับ เวลาวัดค่า ค่าที่วัดได้ 13.5V ถือเป็นระดับต่ำสุดที่ยอมรับได้แล้วน่ะครับ เพราะไดชาจ์ทที่สมบูรณ์ จะผลิตแรงดันออกมาประมาณ 13.9V – 14.5V และต่ำสุดไม่ควรต่ำกว่า 13.5V "อย่างสม่ำเสมอน่ะครับ เพราะไดชาจ์ทมีคุณสมบัติคือ " จะต้องสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เป็นจำนวนมากเพียงพอต่อความต้องการของระบบทั้งหมด และ สม่ำเสมอในขณะที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบต่ำประมาณ 750 รอบต่อนาที " ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ในรถสภาพเดิม ๆ จากโรงงาน
วันที่: 12 Aug 12 - 10:24

หน้าที่: [1]   2