Close this window

ถามผู้รู้เรื่องแบต_ไดชาร์ต_และอาการของมันว่ามันเสียเมื่อไร
พอดีเมื่อคืนวานขับอยู่ดีๆสังเกตเห็นว่าไฟมันวูบและเครื่องเสียงไม่ดังก็เลยจอดข้างทางแล้วดับเครื่องแล้วติดเครื่องใหม่ปรากฏว่าแป๊กไม่ติดก็เลยหารถมาพวงแบตจึงติดก็เลยขับกลับบ้านจึงคิดว่าเป็นที่แบตไม่เก็บไฟแล้วเพราะว่า 2 ปีกว่าแล้ว ตอนกลางวันก็เลยไปซื้อแบตใหม่เปลี่ยนเองติดเครื่องแล้วก็ติดดีมีแต๊กบ้างบางครั้งแต่ก็ติด_สบายใจแล้ว_แต่พอตอนเย็นขับออกไปนอกบ้านปรากฏว่าไฟเริ่มวูบวาบ_แอร์ไม่เย็นแล้วก็ไม่ทำงาน_จอดนิ่งๆรอบสวิงขึ้นลงไม่นิ่งหากกดคันเร่งรอบจะค้างที่ 2000 จึงตัดสันใจเลี้ยวรถกลับบ้านระหว่างขับกลับไฟหน้าค่อยๆดับลงถึงบ้านก็พอดีทุกอย่างดับหมด_จึงอยากถามผู้รู้ครับว่าใช่เป็นที่ไดชาร์ตไม่ชาร์ตไฟหรือไม่_ไดชาร์ตเปลี่ยนปีที่แล้วอาการคล้ายๆกัน แล้วมันซ่อมได้หรือไม่และวิธีตรวจสอบเบื้องต้น_ อีกอย่างมันมีโอกาสเป็นที่ ECU หรือไม่ พอดีอยู่แถวลาดพร้าวใครมีอู่แนะนำบ้างครับ
รถไม่นาจะติดเครื่องได้แล้วคงต้องลากไปเศร้า เป็นรถ Lantis ครับ
โดย: wee_pl2   วันที่: 22 Jan 2011 - 07:44


 ความคิดเห็นที่: 1 / 7 : 619743
โดย: หนุ่ม Cronos5DV6+LPG
อาการเหมือน แบตไม่มีไฟ เนื่องจากถูกใช้งานจนเกือบหมด
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากไดชาร์จไม่ทำงาน หรือทำงานไม่สมบูรณ์
ส่วนแบตใหม่ อาจยังชาร์จไม่เต็มที่ เลยใช้งานได้ไม่นาน

วิ่งเข้าหาร้านไดนาโม หรืออู่ที่ไว้ใจได้เช็คเลยครับ
วันที่: 22 Jan 11 - 09:16

 ความคิดเห็นที่: 2 / 7 : 619767
โดย: srithanon
อาการอย่างนี้ คงเป็นที่ไดน์ชาร์ท( generator) มีความพกพร่องเกิดขึ้นภายในตัวของมัน เป็นที่ส่วนไหนบ้างผมจะเล่ารายละเอียดให้พอกลับไปตรวจสอบเบื้องต้นก่อนนะครับ
อาการอย่างนี้เป็นเพราะมีไดโอดเร็คติฟลาย ตัวใดตัวหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เรียงกระแสไฟสลับ ให้เป็นไฟกระแสตรง (DC) เกิดช๊อร์ท ทำให้กระแสไฟจากแบ็ตเตอรี่ไหลย้อนกลับมาลงกราวด์ที่ตัวไดน์ชาร์ท ทำให้แบ็ตมีกระแสไฟจากแบ็ตหมดลงในระยะเวลาไม่นาน และอีกประการหนึ่งมีกระแสไฟการรั่วลงกราวด์ จากระบบวงจรไฟฟ้าของเครื่องยนต์ อาจจะมาจากไฟบวกที่ต่อไปใช้กับอุปกรณืเครื่องเสียง และอุปกรณ์อื่นๆ จะต้องแยกประเด็นในการวิเคราะห์ ว่าเป็นที่ตัวไดน์ชาร์ทหรือช๊อร์ทจากระบบวงจรไฟฟ้าของรถยนต์ ขั้นตอนในการตรวจเช็ค ก็ให้หาแอมป์มิเตร์ ที่มี Range วัดกระแสไฟอย่างน้อยต้องมากกว่าค่ากระแสที่แบ็ตเตอรี่ระบุ เช่น 60 Amp เราควรจะหาแอมป์มิเตอร์ขนาด ประมาณ 70 Amp มาใช้(ความจริงหากเราทำการตรวจเช็คการรั่วของกระไฟ เราอาจจะใช้มิเตอร์ที่มีย่านวัดกระแสไฟ ที่ DC 10 แอมป์ก็พอ แต่ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์ เดี๋ยวมิเตอร์พัง ที่ให้ใช้มิเอร์ ที่มี ย่านวัดกระแสที่ 10 Amp ก็เพราะว่า เวลาวัดกระแสไฟที่รั่วโดยมากจะไม่เกิน 5 Amp ทำให้การอ่านค่ากระแสที่วัดได้อยู่กลางสเกลของหน้าปัทม์มิเตอร์ อ่านได้ละเอียดกว่า)
ขั้นตอนแรกให้ทำการถอดสายไฟขั่วบวกของแบ็ตเตอรี่ออก คือยกตัวปลอกรัดที่สวมทั้งชุดออก จากนั้นให้เอาสายสีแดงของแอมป์มิเตอร์หรือ VOM meter ต่อเข้ากับขั่วบวกของแบ็ตเตอรี่ และสายสีดำหรือลบ ของแอมป์มิเตอร์ ต่อเข้ากับสายบวกที่ถอดออกจากขั่วบวกของแบ็ตในตอนแรก (หากเป็นมิเตอร์วัดโวลแอมป์ทั่วไป ให้บิดสวิชตั้งตั้ง Range DC amp ที่ 10 Amp) ในช่วงนี้ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์
ให้สังเกตุดูที่หน้าปัทม์ของแอมป์มิเตอร์ ว่ามีค่าที่อ่านกระแสไฟได้เท่าใด หากวัดและอ่านได้มากกว่า1-5 Amp แสดงว่า มีการรั่วของกระแสไฟเกิดขึ้นในวงจรไฟฟ้ารถยนต์ จุดหนึ่งจุดได เมื่อเป็นดังนี้ให้ทำการหาสายไฟเส้นที่ต่อมาจากไดน์ชาร์ทมาที่ขั่วบวกของแบ็ตเตอรี่(ซึ่งเวลานี้เราถอดออกและอยู่ที่สายสีดำหรือขั่วลบของแอมป์มิเตอร์ที่ต่ออยู่ ให้ทำการดึงสายนี้ออกเพื่อตัดไฟไปที่ตัวไดน์ชาร์ท สมมุติว่าดุงสายที่ว่านี้ออกแล้วทำให้เข็มแอมป์มิเตอร์ที่กำลังวัด มีค่าลดลงมาเหลือไม่ถึง 1 Amp แสดงว่าตัวไดน์ชาร์ทมีไดโอดเร็คติฟลายชอร์ท หากไม่มีผลเข็มวัดกระแสยัคงชี้เท่าเดิม ให้ตัดปัญหาที่ว่าไดน์ชาร์ทเสียออกไปจากปัญหานี้ ต่อไปให้เราทำการปลดสายไฟบวกที่ไปจ่ายให้กับอุปกรณ์เครื่องเสียงออกทีละชุด หากดึงชุดใดออกแล้วไม่มีผลก็หาสายไฟบวกที่ไปใช้งานอื่นออกเช่น สายไฟที่ไปจ่ายให้สวิชระบบแอร์ ระบบไฟหน้ารถ ครัชคอมแอร์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งต้องเจอแน่ หากดึงออกแล้วพบว่าเข็มแอมป์มิเตอร์ที่วัดลดลงเหลือไม่เกินหนึ่งแอมป์ แสดงว่าวงจรไฟที่จ่ายให้กับอุปกรณืนั้นมีปัญหา ก็ลองหาจุดที่รั่วหรือช๊อร์ทของกระแสไฟดูที่อุปกรณ์นั้น
ก็เป็นการตรวจสอบการรั่วของกระแสไฟ ที่ทำให้กระแสที่แบ็ตเตอรี่เก็บไฟไม่อยู่
แต่ยังอยากบอกกับท่านเจ้าของกระทู้ว่าระบบมอเตอร์สตาร์ทของคุณยังไม่ปกตินะครับ ที่ตัวแม็คเนติคสวิช ที่ทำหน้าที่ต่อสะพานไฟ จากสายไฟเส้นใหญ่ที่มาจากแบ็ตมาที่ขั่วต่อสะพานไฟที่ตัวแม็คเนติคสวิชมอเตอร์สตาร์ท มีหน้าสัมผัสไม่สนิท เพราะมีการอาณร์คของกระแสไฟสูง ทำให้ผิวขรุขระเป็นหลุมตระกรัน กระแสไฟผ่านไม่สะดวก ทำให้เวลาสตาร์ทไม่ค่อยจะติด ต้องถอดออกมาทำความสะอาดหรือเปลี่ยนหน้าคอนแท็ค ถึงจะใช้งานได้ปกติ
สำหรับคำถามที่ว่าจะเป็นที่ ECU ด้วยหรือไม่ ตอบว่าไม่เกี่ยวกันครับ เมื่อกระไฟที่แบ็ตอ่อนหมายถึงโวลต็จของแบ็ตลดลง ทำให้ไฟที่จ่ายให้กับ ECU มีโวลเต็จต่ำเกินไป ทำให้วงจรต่างๆทำงานผิดพลาด ไม่ได้เสียแต่ประการใด สำหรับตัวไดนืชาร์ทสามารถทำการซ่อมได้ครับ ร้านซ่อมทั่วไปก็ซ่อมได้ไม่มีปัญหา ปัญหาทีมีก็คือช่างไม่ค่อยซื้อสสัตย์ ฟันลูกเดียวครับ แต่ก็เป็นบางร้านเท่านั้น ขอให้โชคดี.....srithanon
วันที่: 22 Jan 11 - 12:24

 ความคิดเห็นที่: 3 / 7 : 619769
โดย: jokekung
ไดชาท์ อีก1เสียง
วันที่: 22 Jan 11 - 12:44

 ความคิดเห็นที่: 4 / 7 : 619773
โดย: Yut13
ถอดไปเปิดดูแปรงถ่านก่อนอื่น ถ้าจะเปลี่ยนให้เช็คว่ารถปีไหน 95-96 ใช้แบบ LS ควบคุมด้วยตัวมันเอง 97 - 99 ใช้แบบ PD ควบคุมจากกล่อง ECU
วันที่: 22 Jan 11 - 13:02

 ความคิดเห็นที่: 5 / 7 : 620206
โดย: wee_pl2
ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ครับ....ล่าสุดผมถอดแบตไปชาร์จไฟแล้วนำกลับมาใส่ ดับเครื่องวัดไฟได้ 12.5 V.ตอนติดเครื่อง เปิดแอร์ เปิดเครื่องเสียง วัดได้ 14.2 V. ไม่รู้ว่ามันเป็นปกติหรือป่าวครับ ยังไม่กล้าขับไปไหนกลัวเป็นอีก ว่าจะเอาไปอู่เช็คดูก็ต้องรีบมาทำงานต่างจังหวัดอีก จะถอดเองตามคำแนะนำของน้ายุทธก็ไม่อยากไปยุ่งกับปั้มเบรคเพราะไม่ใช่มืออาชีพ.........แนะนำด้วยครับ
วันที่: 24 Jan 11 - 13:10

 ความคิดเห็นที่: 6 / 7 : 623700
โดย: BawXSpeed
เช็คง่ายๆครับ ถ้าไม่มี แอมมิเตอร์ วัดไฟเอาก็ได้ครับ ถ้าเสียมันจะประมาณ 11.9-12.2 นี่แบตเสียแน่ๆคับ ถ้า ดับเครื่องไว้ ซัก 5 นาทีแล้ววัด ถ้าได้ 12.3-12.7 เริ่มจะเสื้อมครับ ถ้าได้ 12.8 แบตยังดีมากๆครับ ถ้าวัดๆอยู่ โวล ลดเร็วกว่าปกติ ดูว่า มีไรช๊อต อยู่หรือเปล่าครับ เช็คด้วยนะ ผมใช้มาหลายลูกตั้งแต่ รถที่บ้าน กระบะจนมารถผมเอง ตั้งแต่ตอนไวรุ่นอ่ะคับ
วันที่: 06 Feb 11 - 22:46

 ความคิดเห็นที่: 7 / 7 : 623710
โดย: Yut13
ถ้าจ่ายไฟได้ 14.0 - 14.7 ปกติดีครับตอนเดินเบานะ เพิ่งถอดอัลเทอร์เตอร์ติดรถออกเมื่อวานนี้เคยเปลี่ยนแปรงถ่านไปรอบหนึ่งแล้วตอนนี้จ่ายไฟได้ 13.8 โวลท์เองฟิวส์เอาไป 2 โวลท์แล้วเหลือ 11.8 ที่ขั้ว B+ ของกล่อง Diag ระบบเดินเบาเริ่มรวนอีกแล้ว (เป็นตั้งตอนไปแปดริ้ว) ใส่ตัวของญี่ปุ่นเข้าไปก่อนว่างรื้อตัวเดิมมาทำ ถามทำไมไม่ใช้ไปเลย ตอบ ของเดิมไทย 80A ของญี่ปุ่น 65 แอมป์เวลาทำงานกินตัวเองเพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก 40% ประมาณ 26A เหลือใช้จริง 39A เองปริ่มๆเลย
วันที่: 07 Feb 11 - 00:57