Close this window

!!!! ความรู้และปัญหาเรื่อง ล้อแม๊ก !!!
พื้นฐาน โดยผิวเผินแล้ว ล้อแม็กอาจเป็นเพียงอุปกรณ์ประดับรถยนต์ให้สวยงามเท่านั้น แต่เบื้องลึกมีผลกระทบทั้งด้านเด่นและด้อยอีกมากมาย เพราะล้อแม็กต้องถูกห่อหุ้มด้วยยางที่หมุนอยู่ตลอดการขับเคลื่อน และยึดติดอยู่กับระบบช่วงล่างซึ่งทำหน้าที่หลักในการทรงตัว พื้นฐานของล้อแม็กถูกพัฒนาขึ้นต่อเนื่องจากการใช้กระทะล้อเหล็กแบบดั้งเดิม โดยนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบามาผลิตเป็นกระทะล้อ แทนการผลิตแบบเหล็กอัดขึ้นรูปแล้วนำมาเชื่อมประกบกัน แมกนีเซียมเป็นวัสดุที่ถูกนำมาผลิตแทนเหล็กเป็นกระทะล้อแบบใหม่ ตั้งแต่หลายสิบปีที่ผ่านมาการลดน้ำหนักกระทะล้อลงมีหลายจุดประสงค์ อาจมีเพียงจุดประสงค์เดียวหรือหลายจุดประสงค์ร่วมกัน จากคุณสมบัติเด่นของล้อแม็กดังนี้ ช่วยระบายความร้อน เหล็กอมความร้อนมากกว่าแมกนีเซียมหรืออะลูมินั่มอัลลอย เมื่อกระทะล้อร้อน ยางก็ร้อนตาม และจานเบรก-ผ้าเบรกที่อมความร้อนก็จะลดแรงเสียดทานในการเบรกลง จุดประสงค์นี้มักเน้นในวงการรถแข่ง ลดภาระระบบช่วงล่าง เช่นเดียวกับการยืดแขนตรงออกไปแล้วมีสิ่งของหนักหรือเบาแขวนอยู่ที่มือ สิ่งของน้ำหนักเบาย่อมเบาแรงและขยับแขนได้ง่ายกว่า นอกจากนั้นยังเพิ่มอายุการใช้งานของระบบช่วงล่างได้เล็กน้อยอีกด้วย ลดแรงต้านการหมุน กระทะล้อและยางที่มีน้ำหนักมากย่อมหมุนได้ยากกว่า หากลดแรงต้านได้ อัตราเร่งจะดีขึ้น และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย สามารถเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ เพื่อใส่จานดิสก์เบรกขนาดใหญ่มากๆ หรือเพื่อความสวยงาม โดยยังสามารถควบคุมน้ำหนักของกระทะล้อไว้ได้จากวัสดุน้ำหนักเบา จุดประสงค์นี้มักเน้นในวงการรถแข่ง หรือรถยนต์ทั่วไปที่อยากเพิ่มความสวย หรืออยากใส่ยางแก้มเตี้ยลงแต่ต้องการรักษาเส้นรอบวงเดิมไว้ ความสวยงาม วัสดุที่นำมาผลิตล้อแม็กมีสีเงินวาววับ และสามารถออกแบบลวดลายได้หลากหลาย ต่างจากกระทะล้อเหล็กที่ต้องพ่นสีทับและมีลวดลายจำกัด แท้จริงแล้วจุดประสงค์นี้เป็นผลพลอยได้ แต่กลายเป็นจุดเด่นหลักของล้อแม็กไปแล้ว ขนาด การระบุขนาดของล้อแม็กมีอยู่ 2 จุดมีหน่วยเป็นนิ้ว คือ เส้นผ่าศูนย์กลาง หรือเรียกสั้นๆ ว่าขอบ...นิ้ว เช่น 13, 15,...นิ้ว ต้องพอดีกับเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง (มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร) ที่จะนำมาใส่ และความกว้างหรือเรียกสั้นๆ ว่ากว้าง...นิ้ว มีหน่วยจำนวนเต็มหรือ .5 เช่น 5, 5.5, 8,...นิ้ว เกี่ยวข้องกับหน้ากว้างของยางที่จะนำมาใส่ เมื่อเรียกรวมกันจะระบุบนตัวล้อแม็ก เช่น ขนาด 6 X 15 นิ้ว หมายความว่าหน้ากว้าง 6 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 15 นิ้ว ในรถยนต์คันเดียวกัน ล้อแม็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมาก ยิ่งสวย และมีราคาแพง ต้องใช้ยางแก้มเตี้ย คด-แตกง่าย ส่วนล้อแม็กหน้ากว้าง ดูดุดันเต็มซุ้มล้อ แต่ยางอาจติดตัวถังด้านในหรือขอบบังโคลนด้านนอก เป็นภาระกับช่วงล่างมากขึ้น ระยะ PCD PCD-PITCH CIRCLE DIAMETER หมายถึง ระยะห่างของรูนอตบนตัวล้อแม็กและดุมล้อที่ต้องเท่ากัน โดยวัดจากกึ่งกลางรูนอตทุกตัวลากเส้นเป็นวงกลม แล้ววัดผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ถ้าเป็นจำนวนเลขคู่ 4 หรือ 6 รูนอตต่อ 1 ล้อ ก็สามารถวัดจากกึ่งกลางรูนอตด้านหนึ่งไปยังด้านตรงข้ามได้เลย แต่ถ้าเป็นจำนวนเลขคี่ 3 หรือ 5 รูนอต ต้องวัดจากแนววงกลมกึ่งกลางรูนอตผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง รถยนต์ขนาดเล็กมักมี 4 รูนอตต่อ 1 ล้อ และรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นไปมักมี 5-6 รูนอต เพื่อความแน่นหนาในการยึดล้อเข้ากับดุมล้อ ระยะ PCD ของรถยนต์รุ่นใหม่แบบ 4 รูนอต นิยมที่ 100 มิลลิเมตร ส่วนระยะ PCD อื่นมีมากมาย เช่น 98, 108, 110, 114.3 (มาจาก 5 5/8 นิ้ว), 120, 130 มิลลิเมตร ฯลฯ หากล้อแม็กกับดุมล้อมีระยะ PCD ไม่ตรงกัน มีหลายวิธีดัดแปลง เช่น เจาะดุม เจาะล้อแม็ก คว้านรูนอตเดิมแล้วอัดบู๊ชแบบเยื้อง และใส่อแดปเตอร์ ฯลฯ แต่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจด้อยกว่ามาตรฐานจนเกิดอาการล้อสั่นหรือไม่ได้สมดุลขึ้นได้ และยังมีล้อแม็กหลายยี่ห้อหลายรุ่นให้เลือกอีกมากที่มีระยะ PCD ตรงกับดุมล้อ หากชอบล้อแม็กลวดลายนั้นจริงอาจดัดแปลงได้ แต่ต้องใช้ฝีมือช่างและความละเอียดมากๆ (กลายเป็นเรื่องปกติของวงการตกแต่งรถยนต์ของคนไทยไปแล้ว) ปัจจุบันล้อแม็กหลายรุ่นมีการเจาะรูนอตไว้เผื่อสำหรับรถยนต์หลายรุ่นมาเสร็จสรรพ เช่น 1 วง มี 8 รูนอต โดย 4 รูนอตมีระยะ PCD 100 มิลลิเมตร และอีก 4 รูนอตมีระยะ PCD 114.3 มิลลิเมตร หรือล้อแม็กหลายรุ่นไม่มีการเจาะรูไว้เลย เพื่อให้เลือกเจาะเองได้ตามสะดวกก็มี ออฟเซต OFFSET-ออฟเซต คือ ตำแหน่งของหน้าแปลนด้านหลังของล้อแม็กที่ต้องยึดติดกับดุมล้อ เมื่อเปรียบเทียบกับกึ่งกลางล้อแม็กด้านขวาง ระบุเป็นบวกหรือลบด้วยหน่วยมิลลิเมตรบนตัวล้อแม็กด้านหน้าหรือด้านหลัง เช่น 0, +30, -25 ฯลฯ ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตเท่ากัน อาจยื่นออกมาจากดุมล้อไม่เท่ากัน ถ้าความกว้างของล้อแม็กไม่เท่ากัน เช่น ล้อแม็ก 2 วง มีค่าออฟเซต 0 มิลลิเมตรเท่ากัน คือ หน้าสัมผัสของล้อแม็กกับดุมอยู่ตรงกลางพอดี แต่วงหนึ่งมีความกว้าง 6 นิ้ว กับอีกวงมีความกว้าง 7 นิ้ว วงแรกจะยื่นออกมาจากดุม 3 นิ้ว และวงหลังจะยื่นออกมา 3.5 นิ้ว ทั้งที่มีค่าออฟเซต 0 มิลลิเมตรเท่ากัน
ค่าออฟเซตน้อยหรือลบมากเกินไป ล้อแม็กจะยื่นออกมาจากดุมล้อมาก แต่ถ้ามีระยะออฟเซตมากหรือบวกมากเกินไป ล้อแม็กจะหุบเข้าไปในตัวถัง เช่นล้อแม็ก 2 วงมีขนาดเท่ากันทุกอย่าง ทั้งเส้นผ่าศูนย์กลางและหน้ากว้าง ยกเว้นค่าออฟเซต ล้อแม็กวงหนึ่ง -20 มิลลิเมตร และอีกวง +10 มิลลิเมตร วงแรกเมื่อใส่เข้ากับตัวรถยนต์จะยื่นออกมามากกว่าอีกวง 30 มิลลิเมตร (-20+10=30 มิลลิเมตร) รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังมักกำหนดให้ใช้ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตเป็นลบ หรือบวกไม่มากนัก ดูแล้วล้อแม็กจะเป็นหลุมลงไป และรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า (หรือขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นใหม่) มักใช้ล้อแม็กค่าออฟเซตเป็นบวก ดูแล้วล้อแม็กจะหน้าเต็มๆ เพราะในการออกแบบและทดสอบพบว่า ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตมากหรือบวกมาก เมื่อยางแตกรถยนต์จะเสียการทรงตัวน้อย การเปลี่ยนล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย เช่น ล้อแม็กขอบ 16-17 นิ้ว กับยาง 45-50 ซีรีส์ ตามความนิยมเพิ่มความสวย คนส่วนใหญ่มักมีมุมมองเบื้องต้นว่ายางจะติดขอบบังโคลนด้านใน เพราะมีขนาดล้อแม็กเพิ่มขึ้น ทั้งที่อาจเกี่ยวข้องกับค่าออฟเซตที่น้อยเกินไป ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการยื่นหรือหุบเข้าไปของล้อแม็กกับขอบบังโคลนของตัวถัง เช่น เปลี่ยนล้อแม็กวงโตแล้วยางกระแทกขอบบังโคลนเมื่อรถยนต์ถูกโหลดลดความสูงหรือยุบตัวมากๆ ทำให้หลายคนรีบสรุปว่าล้อแม็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากเกินไป เช่น ขอบ 16-17 นิ้ว ทั้งที่จริงแล้วอาจมีปัญหามาจากค่าออฟเซต ในความเป็นจริง ยางจะติดขอบบังโคลนด้านในหรือเปล่า ? อยู่ที่ 2 กรณีหลัก คือ ขนาดของล้อแม็กและยาง และค่าออฟเซตของล้อแม็ก ถ้าไม่เลือกล้อแม็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่เกินไป เช่น โตโยต้า โคโรลล่า เลือกล้อแม็กขอบ 15-16 นิ้ว แล้วยางยังกระแทกขอบบังโคลนด้านในโดยส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาจากค่าออฟเซตไม่เหมาะสม คือ ล้อแม็กและยางจะยื่นเลยออกมานอกแนวขอบบังโคลน เมื่อโหลดลดความสูงของตัวถังลงมาหรือรถยนต์ยุบตัวมากๆ ขอบบังโคลนด้านในจะกระแทกกับยางจนเกิดเสียงดังและยางเสียหาย ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนว่า แม้จะใส่ล้อแม็กแค่ 13 นิ้ว แต่ถ้าออฟเซตลบมากๆ จนล้อแม็กยื่นออกมาเลยขอบบังโคลนด้านใน ยางก็ยังมีโอกาสถูกกระแทกได้การเลือกเปลี่ยนล้อแม็กขนาดใหม่ ควรอ้างอิงค่าออฟเซตกับล้อแม็กมาตรฐานเดิม โดยอ่านจากตัวล้อแม็กบริเวณด้านหน้าหรือด้านหลังตามหลักการ ไม่ควรเลือกล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตต่างจากมาตรฐานเดิมเกิน 5-10 มิลลิเมตร แต่ในทางปฏิบัติสามารถประยุกต์ได้ ล้อแม็กที่ใส่แล้วสวยคือใส่แล้วดูเต็มบังโคลน แต่เมื่อรถยนต์ยุบตัว ยางต้องไม่กระแทกกับขอบบังโคลน หรือเรียกกันกลายๆ ว่า ปริ่มขอบบังโคลน การเลือกแบบประยุกต์หรือสูตรสำเร็จก็คือ ลองใส่ล้อแม็กพร้อมยาง แล้วนำรถยนต์ขับเดินหน้า-ถอยหลังสัก 4-5 ครั้ง เพื่อให้ช่วงล่างปรับเข้าสู่ระยะปกติ หาคนนั่งในรถยนต์บนเบาะหลัง 2-3 คน พร้อมขย่มตัวถังเหนือล้อหลัง แล้วดูว่าริมขอบบังโคลนด้านในยุบลงมากระแทกยางหรือเปล่า ถ้าสามารถพับหรือเจียร์ขอบบังโคลนด้านในหลบได้ก็จัดการไปเลย โดยต้องระวังไม่ให้สีด้านนอกเสียหาย แต่ถ้าติดมาก คือพับหรือเจียร์ขอบบังโคลนด้านในแล้วยังไม่น่าจะพ้น ก็หมดสิทธิ์ใส่ล้อแม็กชุดนั้น แม้ตัวรถยนต์ไม่ได้โหลดลดความสูงลง แต่ก็ต้องทดลองขย่มเผื่อไว้สำหรับการบรรทุกหนักหรือการกระแทกที่อาจเกิดขึ้นได้ ค่าออฟเซตมากหรือบวกเกินไป ล้อและยางจะหุบเข้าไปในตัวถัง ดูไม่สวย อาจติดช่วงล่างบางชิ้น ฐานล้อระหว่างซ้าย-ขวาน้อยลง และสูญเสียประสิทธิภาพการทรงตัวลงไป การดัดแปลงค่าออฟเซต ความอยากสวยห้ามกันยาก เมื่อล้อแม็กลวดลายนั้นประทับใจมาก แต่ค่าออฟเซตน้อย-มากเกินไป จนล้อหุบ-ล้น หรือระยะ PCD ไม่เท่ากัน หรือจำนวนรูนอตไม่เท่ากันระหว่างดุมล้อกับล้อแม็ก สามารถดัดแปลงในหลายกรณีได้ดี แต่บางกรณีแย่และควรหลีกเลี่ยง ค่าออฟเซตน้อยหรือติดลบเกินไป ถ้าล้อแม็กจะล้นออกมาเกินปกติ แสดงว่าค่าออฟเซตน้อยหรือติดลบเกินไป เมื่อรถยนต์ยุบตัวลงหรือโหลด ยางอาจกระแทกกับขอบบังโคลนด้านใน ถ้าติดหรือกระแทกไม่มาก ก็สามารถพับหรือเจียร์ขอบบังโคลนหลบได้ แต่ต้องระวังไม่ให้สีด้านนอกเสียหายถ้ายังไม่พ้นลองพลิกดูด้านหลังล้อแม็กบริเวณหน้าสัมผัส ว่ามีเนื้อหนาพอจะเจียร์ให้บางลงสัก 2-3 มิลลิเมตรได้ไหม ถ้าเจียร์ได้ก็ยังพอเพิ่มค่าออฟเซตให้ล้อหุบเข้าไปได้อีกเล็กน้อย แต่ต้องแน่ใจว่าล้อแม็กจะไม่บางเกินไปจนแตกหักง่าย ค่าออฟเซตมากไป หากล้อแม็กหุบเข้าไปเกินปกติ แสดงว่าค่าออฟเซตมากไป กรณีนี้ไม่เกี่ยวกับปัญหายางกระแทกขอบบังโคลน แต่อาจดูไม่สวย และล้อหรือยางจะติดขัดกับช่วงล่างบางชิ้นหรือซุ้มล้อด้านใน ถ้าไม่มาก สามารถใช้แผ่นอะลูมิเนียมรองแบนกลมบางๆ สเปเซอร์-SPACER ซึ่งมีจำนวนรูให้นอตร้อยผ่านเท่ากับระยะ PCD แทรกระหว่างล้อแม็กกับดุมล้อ เพื่อให้ล้อแม็กล้นออกมามากขึ้น ถ้ารองสเปเซอร์ไม่หนานัก ยังใช้นอตล้อเดิมได้และไม่ค่อยมีผลต่อการแกว่ง แต่ถ้าต้องรองหนากว่า 10 มิลลิเมตร (1 เซนติเมตร) ต้องเปลี่ยนนอตล้อยาวขึ้นหรือแบบพิเศษ เพื่อให้มีเกลียวยาวยึดได้แน่น แต่ยังเสี่ยงต่อการแกว่งหรือสั่นถ้าต้องรองสเปเซอร์หนามากเกิน 20-30 มิลลิเมตร อาจมีการใช้สเปเซอร์พิเศษ ที่มีนอตล้อเพิ่มอีกชุด (ดูคล้ายอแดปเตอร์ แต่จำนวนรูนอตและระยะ PCD เท่าเดิม) โดยมีตัวสเปเซอร์แบบหนายึดเข้ากับดุมด้วยนอตล้อชุดเดิม แล้วมีนอตล้อชุดใหม่ยื่นออกมาจากสเปเซอร์เพื่อยึดกับล้อแม็ก ตัวสเปเซอร์แผ่นรองแทรกควรมีน้ำหนักเบาที่สุด เพราะแค่มีการยื่นออกมาของล้อแม็กมากๆ ก็สร้างภาระให้กับช่วงล่างมากอยู่แล้ว เมื่อต้องเสริมแผ่นรองหนาพิเศษก็ยิ่งมีน้ำหนักมาก สร้างภาระมากขึ้นไป
โดย: Gapmy   วันที่: 15 Jul 2009 - 20:54

หน้าที่: [1]   2

 ความคิดเห็นที่: 1 / 27 : 481269
โดย: Gapmy
ยิ่งอ้วนยิ่งเปลือง
ยิ่งอ้วนยิ่งเปลือง รถไม่ใช่โกดังเก็บของ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรเก็บไว้กับรถ เพราะน้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้น เพียง 10 กิโลกรัม จะทำให้เปลือง ค่าน้ำมันมากขึ้นกว่า 60 บาท ต่อเดือน
วันที่: 15 Jul 09 - 20:56

 ความคิดเห็นที่: 2 / 27 : 481270
โดย: Gapmy
มองล่วงหน้า รักษาเบรก
เตรียมตัวล่วงหน้าเมื่อจะถึงสี่แยก สัญญาณไฟ หรือป้ายสัญญาณ ช่วยให้ไม่ต้องเบรกอย่างพร่ำเพรื่อ และรุนแรง หรือเสี่ยงการเปลี่ยนช่องทางวิ่งบ่อย ๆ ซึ่งอาจทำใต้องเร่งเครื่องอย่างเร็ว และหยุดอย่างกระทันหัน จะเป็นการประหยัดน้ำมัน และรักษาผ้าเบรก จานเบรกไว้ใช้กันตอปาน ๆ
วันที่: 15 Jul 09 - 20:57

 ความคิดเห็นที่: 3 / 27 : 481272
โดย: Gapmy
ติดเครื่อง เปลืองแน่
หากชอบเปิดแอร์ นอนเล่น หรือชอบติดเครื่องตอนจอดคอย เพียงครั้งละ 10 นาที เดือนละ 10 ครั้ง นอกจากจะเปลือกน้ำมัน 45 บาท ต่อเดือนแล้ว น้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมด ซึ่งอาจหลงเหลืออยู่ใน กระบอกสูบจะเป็นตัวการทำให้เครื่องยนต์สึกหรออีกด้วย
วันที่: 15 Jul 09 - 20:58

 ความคิดเห็นที่: 4 / 27 : 481273
โดย: Gapmy
เปลี่ยนยางรถยนต์ สาเหตุทำให้ยางผิดปรกติ
การเปลี่ยนยางใหม่จะต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง เมื่อต้องการเปลี่ยนยางใหม่ที่แตกต่างไปจากของเดิม ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1.น้ำหนักสูงสุดที่ยางรับได้ ยางที่เปลี่ยนใหม่จะต้องสามารถรับภาระสูงสุดได้ไม่น้อยกว่ายางเดิมมิฉะนั้นอาจทำให้ยางระเบิดได้ 2.ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อรถ การเปลี่ยนยางที่ถูกต้องขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อไม่ควรแตกต่างไปจากเดิมมาก เพราะจะทำให้ตัวเลขระยะทางและความเร็วที่มาตรวัดความเร็วรถยนต์แสดงผลไม่ตรงกับความเป็นจริง 3.ซีรีส์ของยาง การเปลี่ยนซีรีส์หรืออัตราส่วนความสูงของยางที่ใช้จะมีผลต่อการขับขี่ ยางซีรีส์ต่ำ(มีการสะเทือนของรถน้อยกว่า) แต่ยางซีรีส์ต่ำจะยึดเกาะถนนได้ดีกว่ายางซีรีส์สูง 4.ดอกยาง ควรเลือกดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นผิวของถนนและลักษณะการใช้งาน เช่น เลือกใช้ดอกยางขนาดใหญ่เมื่อใช้กับถนนที่ขรุขระหรือที่เป็นดินโคลน หรือเลือกใช้ดอกยางแบบหมุนทิศทางเดียวกับรถที่ต้องวิ่งด้วยความเร็วสูง เป็นต้น 5.ความกว้างของหน้ายาง การเปลี่ยนความกว้างของหน้ายางที่ใช้จะมีผลต่อการขับขี่รถยนต์ กาารใช้ยางที่มีความกว้างของหน้ายางมากจะทำให้ยางยึดเกาะกับถนนได้ดี และการเบรกรถมีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากยางมีพื้นที่สัมผัสกับผิวถนนมาก แต่จะมีข้อเสีย คือ ทำให้พวงมาลัยหนักและใช้กำลังขับเคลื่อนมาก ส่งผลให้มีความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น นอกจากนี้หากหน้ายางกว้างมากเกินไปยางจะยื่นออกมานอกตัวรถเมื่อรถมีการยุบตัวยางจะมาชนกันตัวถังรถทำให้ยางชำรุดเสียหาย สำหรับการเปลี่ยนยางที่มีความกว้างของหน้ายางน้อยลง ก็ส่งผลต่อการขับรถในทางตรงกันข้าม ซึ่งตามปกติแล้วจะไม่ค่อยมีใครเปลี่ยนยางให้มีความกว้างของหน้ายางน้อยลง สาเหตุที่ทำให้ยางสึกหรอผิดปกติ ตามปกติยางรถยนต์เมื่อถูกใช้งานก็จะมีการสึกหรอไปทีละน้อย โดยการสึกหรอของดอกยางจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเท่ากันตลอดหน้ายางล้อที่ใช้เป็นล้อขับเคลื่อนรถจะมีการสึกหรอของดอกยางมากกว่าล้อที่รับน้ำหนักบรรทุกน้อย การสึกหรอของดอกยางในลักษณะที่ไม่เท่ากันตลอดหน้ายางจะถือว่าเป็นการสึกหรอที่ผิดปกติ ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะ เช่น สึกมากบริเวรไหล่ยางด้านใดด้านหนึ่ง สึกมากบริเวณไหล่ยางทั้งสองข้างสึกมากเฉพาะตรงกลางหน้ายาง หรือสึกเป็นบั้งๆ โดยรอบด้านใดด้านหนึ่งของล้อ เป็นต้น การสึกของยางที่ผิดปกติ มักจะเกิดจากสาเหตุสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1.ยางอ่อนเกินไป การเติมลมด้วยความดันลมต่ำเกินไป จะทำให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนเฉพาะบริเวณไหล่ยาง ซึ่งส่งผลให้ยางมีการสึกหรอมากตรงไหล่ยางทั้งสองข้าง 2.ยางแข็งเกินไป การเติมลมด้วยความดันลมที่สูงเกินไปจะทำให้หน้ายางโป่งนูนสัมผัสกับผิวถนนเฉพาะตรงกลางหน้ายาง 3.มุมล้อผิด การตั้งหมุนล้อผิดไปจากค่ากำหนด หรือมุมล้อคลาดเคลื่อนไปจากค่ากำหนดเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม จะทำให้ยางมีการสึกหรอมากบริเวณไหล่ยางด้านใดด้านหนึ่งอย่างผิดปกติ 4.ชิ้นส่วนในระบบรองรับของรถยนต์ชำรุดหรือเสื่อมสภาพ เมื่อชิ้นส่วนในระบบรองรับ เช่น โช้กอัพ (shock absorber) สำหรับกันสะเทือนเสียหรือเสื่อมสภาพ จะส่งผลให้ยางสึกหรอในลักษณะเป็นบั้งๆโดยรอบของล้อด้านใดด้านหนึ่ง ยางมีอายุการใช้งานเท่าไร อายุการใช้งานของยางที่ไม่แน่นอนนั้น ไม่มีใครกำหนดได้ว่า สามารถใช้งานได้นานเท่าใด เนื่องจากอายุการใช้งานของยางจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความดันลม น้ำหนักบรรทุกของรถ สภาพของพื้นผิวถนนความเร็วของรถที่ใช้ การออกรถ การเบรกรถ ความถูกต้องของมุมล้อสภาพของชิ้นส่วนในระบบรองรับและอุณหภูมิของอากาศ เป็นต้น
วันที่: 15 Jul 09 - 20:59

 ความคิดเห็นที่: 5 / 27 : 481274
โดย: Gapmy
7 เคล็คลับประหยัดน้ำมัน
หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาหลังฝนตกใหม่ๆ โดยหันมาใช้การติดต่อกันทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้าใต้ดินแทนก็จะสะดวกและประหยัดน้ำมัน ทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจร ที่ติดขัด เพราะหากผู้ใช้รถยนต์จำนวนร้อยละ 1 จากจำนวนรถทั้งหมด 8 ล้านคัน หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ปีละ 83 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท (ราคาน้ำมัน 30 บาทต่อลิตร) 2. ตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทาง หากมีความจำเป็นต้องเดินทางช่วงฝนตก ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นพิเศษ เพราะหากรถดับหรือเสียขณะการเดินทางจะทำให้เสียเวลาและทำให้การจราจรติดขัดยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ควรได้รับการตรวจเช็คเป็นพิเศษคือ ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ เพราะหากน้ำแห้งแบตเตอรี่จะไม่สามารถทำงานได้โดยผลที่ได้รับคือรถสตาร์ทไม่ติด 3. ตรวจเช็คเส้นทางให้พร้อมก่อนเดินทาง โดยเลือกเส้นทางการจราจรที่ใกล้ที่สุดหรือตรวจสอบเส้นทางได้จากรายการวิทยุ สวพ.91 จส.100 หรือโทร.1197 เพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยใช้ระยะทางที่ใกล้ไม่หลงทาง ช่วยทำให้ประหยัดน้ำมัน และควรเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานบริการช่วยเหลือกรณีรถเสียระหว่างทาง เช่น สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน 1167 4. ตรวจเช็คลมยางและสภาพยางให้ได้มาตรฐาน โดยตรวจเช็คลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะหากลมยางต่ำกว่ามาตรฐานจะทำให้การขับขี่สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 2 และหากสภาพยางไม่ได้มาตรฐานจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน 5. ตรวจเช็คผ้าเบรก เพราะช่วงหน้าฝนถนนลื่นกว่าปกติทำให้ต้องแตะเบรกบ่อยครั้ง โดยผู้ขับขี่ควรสังเกตจากเสียงขณะเบรก หรือเบรกแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติซึ่งทำให้เปลืองน้ำมันประมาณวันละ 400 ซีซี ฉะนั้นผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน 6. ตรวจเช็คความเร็ว หากใช้ความเร็วสูงเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในขณะขับรถจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 10-25 ดังนั้นควรขับรถความเร็วที่ระดับ 80-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลดอุบัติเหตุและช่วยประหยัดน้ำมัน 7. ตรวจเช็คความเย็น ลดอุณหภูมิโดยไม่ปรับแอร์ในรถให้เย็นเกินไป เพราะหน้าฝนอากาศเย็น และควรปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี แต่หากไม่ใช้แอร์เลยตลอดการเดินทาง 20-30 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 300 ซีซี การตรวจเช็ครถยนต์อย่างสม่ำเสมอเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากปฏิบัติได้ครบทั้ง 7 วิธี จะช่วยผู้ใช้รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ประหยัดเงิน และขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0 2612 1555 ต่อ 201-205
วันที่: 15 Jul 09 - 21:05

 ความคิดเห็นที่: 6 / 27 : 481276
โดย: Gapmy
หลายหลายเรื่องรถที่คุณยังไม่รู้
ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น ล้วนแล้วมีกิจกรรมหลายอย่างที่ต้องทำ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าแต่ละอย่างที่คุณทำนั้นได้ทำลายสภาพแวดล้อมไปมากน้อยแค่ไหน บางคนอาจจะมองข้ามไปว่าสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรานั้นเป็นเพียงเรื่องที่ไม่น่าสนใจ แต่เชื่อเถอะว่าทุกกิจกรรมของมนุษย์นั้นได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น รวมถึงการใช้รถยนต์ด้วยเกริ่นมาขนาดนี้แล้ว "ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" เพียงจะบอกท่านผู้อ่านทุกท่านถึงวิธีการดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆที่สามารถช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปในตัวด้วย 1 วิธีล้างรถยนต์ ล้างรถยนต์ด้วยฟองน้ำ และใช้ถังน้ำจะใช้น้ำ เพียง 15 แกลลอน แต่ถ้าล้างด้วยสายยาง จะต้อง สูญเสียน้ำถึง 150 แกลลอน 2 ดูแลรักษารถ ด้วยการเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง การดูแลรักษารถ จะต้องทำอย่าง สม่ำเสมอ ได้แก่ การเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลา ที่ระบุไว้ในคู่มือ และทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่าย น้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนไส้กรองด้วย 3 รักษารถด้วยการเปลี่ยนไส้กรอง ไส้กรองอากาศที่ สกปรกจะทำให้ การไหลของ อากาศที่สะอาด ทำได้น้อยลง มีผลต่อการเผา ไหม้ของเครื่องยนต์ด้วย 4 รักษารถช่วยลดมลพิษ การดูแลรักษารถ จะทำให้รถ สามารถวิ่งได้เพิ่มขึ้น อีก 10% ของจำนวนไมล์ ซึ่งเท่ากับสามารถลด ราคาเชื้อเพลิงลงได้ถึง 10% เช่นกัน การลดการ ใช้เชื้อเพลิงลงก็เท่ากับ เป็นการช่วยลดมลพิษทาง อากาศให้กับโลกได้ด้วย 5ยางรถยนต์ ช่วยประหยัดน้ำมัน การเติมลมยางรถ ให้พอดี และขับรถตามข้อ กำหนดความเร็ว จะช่วยในการ ประหยัดน้ำมันได้ 6 วิธีป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเครื่อง การป้องกัน การรั่วไหลของ น้ำมันเครื่องจากตัวถัง รถยนต์สามารถทำได้ ด้วยการปิด สลักเกลียวใน เครื่องยนต์ทุกตัวให้แน่น โดยเฉพาะในส่วนที่ซึ่ง น้ำมันเครื่องรั่วไหลออกไปได้ ช่วยป้องกันการรั่ว ไหลของน้ำมันเพื่อลดมลพิษ ให้กับอากาศของเรา 7 ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เมื่อขับรถได้ทุกๆ ระยะ 3,000 - 4,000 ไมล์ และควรเลือกใช้ไส้กรอง ที่ดีที่ สุดด้วย 8 การเพิ่มออกซิเจน ในน้ำมัน วิธีการหนึ่ง ที่จะช่วยลดมลพิษ ให้กับรถยนต์ก็คือ การเพิ่มส่วนผสมของ ออกซิเจนในน้ำมัน ซึ่งจะ ช่วยลดปริมาณ การเกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ ลงได้เป็นจำนวนมาก 9 รถยนต์ผลิตคาร์บอนมอนนอกไซด์ ทุก ๆ ปี รถยนต์คันหนึ่ง ๆ จะผลิตก๊าซ คาร์บอน มอนนอกไซด์ออกมาสู่ บรรยากาศโลกได้ ในปริมาณที่มีน้ำหนัก เท่ากับตัวรถเอง โตโยต้า พรีอุส รถยนต์รุ่นแรกของโลกที่นำระบบไฮบริดมาใช้ในเชิงพาณิชย์ 10 น้ำมันก๊าซโซลีน เผาไหม้เกิดเป็น คาร์บอนไดออกไซด์ ทุกๆ แกลลอน ของก๊าซโซลีน ในรถยนต์ที่ถูกเผา ไหม้จะทำให้เกิดก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ จำนวนถึง 9000 กรัม กระจายขึ้นสู่ ชั้นบรรยากาศโลก 11 ทำอย่างไรกับ น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว จากรถยนต์จะก่อ มลภาวะ ให้เกิดกับแหล่งน้ำ และผิวดินได้ หากมีการกำจัดที่ ไม่เหมาะสม ทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ให้ ถ่ายเทน้ำมันเครื่อง ที่ใช้แล้วลงใน ภาชนะ ที่ปิดฝา แล้วส่งคืนให้กับสถานีบริการ 12 รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โลกได้ผลิตรถยนต์ ชนิดใหม่เพื่อลดมลพิษ ให้กับท้องถนน รถยนต์ที่ผลิตขึ้นใหม่นี้ ขับเคลื่อนโดย ขบวนการเปลี่ยนไฮโดรเจนเหลว ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยไม่ต้องผ่านขบวนการเผาไหม้ ลักษณะของรถยนต์ พลังงานไฮโดรเจนเหลว รถยนต์พลังงาน ไฮโดรเจนเหลวนี้ มีลักษณะเดียวกับ รถไฟฟ้า แต่แตกต่างกันตรงที่มี ถังเก็บไฮโดรเจนเหลว แทนแบตเตอรี่ ปัจจุบันพลังงาน ไฮโดรเจนเหลว กำลังได้รับการพัฒนารูปแบบ เพื่อที่จะนำมาใช้บนท้องถนนแล้ว รถยนต์พลังงาน ไฮโดรเจนเหลว ไม่ก่อมลพิษ รถยนต์พลังงาน ไฮโดรเจนเหลว ไม่ก่อให้เกิด มลพิษ ต่อสภาพแวดล้อม เพราะไฮโดรเจนเหลว ที่ใช้กับตัวรถได้มาจากแหล่งที่สะอาด 13 การเติมลมยางรถ ช่วยประหยัดน้ำมัน ในการบำรุงรักษา การเติมยางรถ ที่พอดีจะช่วยในการ ประหยัดน้ำมันได้ การเติมลมยางรถ ถ้าเติมอ่อนเกินไป จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5 ตามการหมุนรอบของวงล้อที่เพิ่มขึ้น การเติมลมยางรถ ช่วยยืดอายุยางรถยนต์ การเติมลมยางรถยนต์ ที่พอเหมาะพอดี ยังช่วยยืดอายุการใช้งาน ช่วยป้องกันไม่ให้ ยางรถยนต์ฉีกขาดได้ง่าย จากสาเหตุที่เติมลมอ่อนหรือแข็ง เกินไปอีกด้วย
วันที่: 15 Jul 09 - 21:08

 ความคิดเห็นที่: 7 / 27 : 481277
โดย: Gapmy
อาการของรถเสียมีอยู่หลายแบบ คุณผู้หญิงควรที่จะเรียนรู้เอาไว้
> ยางแตก อาการนี้โดยปกติแล้วจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักจะเกิดขึ้นคือฟลุคจริงๆ หรือไม่ก็โชคร้ายสุดๆ ยามเมื่อรถเสีย คุณผู้หญิงที่แสนจะบอบบางคงไม่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนยางเองหรอก ที่สำคัญโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่นิยมมียางสำรองไว้ท้ายรถกันอยู่แล้ว สิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างแรกคือ ขยับรถไม่ให้กีดขวางการจราจรของรถคันอื่น จากนั้นดูสิว่ามีเบอร์ร้านซ่อมรถที่คุณไปใช้บริการบ่อยๆ หรือโทร.หาศูนย์บริการซ่อมรถที่คุณถอยรถออกมาก็ได้ แต่หากว่ามีอู่ซ่อมรถอยู่ห่างไม่ไกลนักก็จ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถแท็กซี่ไปรับช่างมาซ่อมให้คุณก็ได้ สุดท้ายเมื่อรถของคุณยังพอที่จะประคองตัวไปถึงอู่ได้ ก็ให้ขับไปจะเป็นการดีที่สุด > น้ำมันหมด เรื่องนี้น้อยครั้งที่จะเกิดขึ้นกับคุณสาวๆ เพราะด้วยลักษณะนิสัยที่ละเอียดลออทำให้ต้องหมั่นเติมน้ำมันให้เต็มถังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความอุ่นใจ แต่หากวันดีคืนดีเกิดน้ำมันหมดไม่รู้ตัว การแก้ไขที่เข้าท่ามีดังนี้ เรียกรถแท็กซี่ให้มาช่วยลากรถคุณไปปั้มที่ใกล้ที่สุด แล้วถ้าเกิดน้ำมันหมดในถนนที่ไม่ค่อยมีรถยนต์แล่นผ่านไปมาล่ะ ให้คุณโทร.หาคนทางบ้านแจ้งว่าคุณน้ำมันอยู่ตรงนั้นตรงนี้นะ หรือโทร.แจ้งไปที่จส.100 เพื่อให้ช่วยกระจายข่าวและขอความช่วยเหลือ หากมีรถแล่นมาโดยบังเอิญก็ขอแบ่งน้ำมันจากเขาสักหน่อย เพื่อให้สามารถขับไปถึงปั้มได้ > ความร้อนขึ้นสูง หรืออาการรถฮีทขึ้น ก็จัดการได้ง่ายๆ ให้คุณเปิดฝากระโปรงรถ แต่อย่าเพิ่งเปิดฝาหม้อน้ำรถขึ้นมานะ เพราะว่าน้ำยังมีความร้อนสูงอยู่มากและแรงดันความร้องสูง หากคุณปุปปับเปิดขึ้นมาน้ำที่เดือดอยู่อาจกระฉูดมาโดนคุณ ให้ผิวพรรณ หน้าตาโดนลวกได้ ให้ใจเย็นสักนิดรอสักครู่ให้รถมีความเย็น แล้วจึงค่อยๆ เปิดฝาหม้อน้ำ ส่วนของฝาหม้อน้ำคือส่วนที่เป็นหม้อน้ำเหล็กหรือที่เป็นรังผึ้งนั่นเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไปทีละนิด เรื่อยๆ จนกว่าน้ำจะค่อยๆ เย็นขึ้น เมื่อเสร็จแล้วก็สตาร์รถดูสิว่าติดไหม หากยังไม่ติด อาจเป็นเพราะยังคงมีความร้อนอยู่ ก็เป็นได้ > แบตเตอรี่หมด อาการที่บอกว่าคุณกำลังประสบปัญหาเรื่องแบตเตอรี่รถหมดคือ สตาร์ไม่ติด บิดกุญแจแล้วทุกอย่างก็ยังคงเงียบกริบ หากไม่แน่ใจว่าเกิดอาการแบตเตอรี่หมดหรือไม่ ก็ให้ลองกดแตร หากแตรยังไม่ดัง นั่นก็มั่นใจได้เลยว่า แบตเตอรี่หมดอย่างแน่นอน หากคุณพอมีสายพ่วงกับแบตเตอรี่ก็เพียงแค่ขอแบตเตอรี่จากรถคันอื่น ให้จอดรถเทียบข้างกัน แต่อย่าให้ตัวถังรถติดกัน เพราะอาจเกิดประกายไฟ จากนั้นเอาสายพ่วงแบตเตอรี่ เสียบเข้าที่ขั้วแบตเตอรี่ของรถทั้งสองคัน โดยหนีบจากรถคันที่มีแบตเตอรี่ก่อน การเสียบนั้นให้คุณจำไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า “บวกต่อบวก ลบต่อลบ” จากนั้นให้คันที่มีแบตเตอรี่สตาร์รถเพื่อถ่ายไฟเข้าในแบตเตอรี่รถคุณ ประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยประมาณ จากนั้นคุณก็ลองสตาร์รถของคุณดูว่าสตาร์ติดหรือไม่ ตอนนี้จะขับรถขับราก็ต้องหัดมีความรู้เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เอาไว้บ้างนะ ฉุกเฉินขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือตนเองได้
วันที่: 15 Jul 09 - 21:10

 ความคิดเห็นที่: 8 / 27 : 481278
โดย: Gapmy
วิธีตรวจสอบคุณภาพยางแบบง่ายๆ
วิธีตรวจสอบคุณภาพยางแบบง่ายๆ 1 ตรวจสอบหน้ายางและแก้มยางว่ามีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นหรือไม่ เช่นรอยบาดจากของมีคมประเภทเศษแก้ว การบวมบริเวณแก้มยาง การแตกลายงาในทุกส่วนของยาง หากเกิดการฉีกขาดจากแก้มยางจนลึกไปถึงผ้าใบชั้นในควรเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรซ่อม เพระแก้มยางคือจุดที่ยางต้องรับน้ำหนัก และมีการบิดตัวไปมาในขณะที่ท่านขับขี่ ยางอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ หากมีรอยฉีกขาดบริเวณแก้มยาง 2 น้ำมันทุกชนิด มีผลก่อให้เกิดการบวมของยาง หรือยางร่อนออกจากขอบกระทะล้อ ควรหลีกเลี่ยงการจอดรถบนคราบน้ำมัน หรือหากมีน้ำกรดหกโดนยาง ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสบู่ พร้อมตรวจสอบสภาพของกระทะล้อ และจุ้บวาส์วเติมลมเป็นประจำ เพราะบ่อยครั้งการแบนหรือรั่วซึมเกิดขึ้นจากสองจุดนี้ และควรมีฝาปิดจุ้บเติมลม เพื่อป้องกันการซึมของลมยาง 3 เมื่อรถเสีย และต้องถูกลากเป็นระยะทางไกลๆ ควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อหลังอีก 3-4ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว 4 การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการออกตัวอย่างรุนแรง หรือออกรถแบบกระชาก จะทำให้ยางมีการสึกเร็วกว่าการขับขี่แบบปกติมาก 5 ควรตรวจสอบความลึกของดอกยางว่าถึงระดับที่ควรจะเปลี่ยนยางหรือไม่ ซึ่งความลึกของดอกยางที่เหมาะสมควรมากกว่า 2 มิลลิเมตร ยางบางรุ่นในยุคปัจจุบัน มีสัญลักษณ์บอกความลึกของดอกยาง เป็นแท่งเชื่อมระหว่างดอกยาง บริเวณส่วนลึกสุดของร่องยาง (แต่ไม่ไช่ทุกร่อง) เมื่อใดที่ดอกยางสึกจนถึงแท่งนี้แล้ว ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆของยางควบคู่กันไปด้วย เช่นสภาพของเนื้อยางมีการบวม หรือแตก เพราะยางบางเส้นอาจหมดอายุการใช้งานแล้ว 2มิลลิเมตรก็ตาม 6 ควรเขี่ย เศษก้อนกรวด เศษแก้วที่ติดอยู่บริเวณร่องยางออกให้หมด เพระเศษกรวดเหล่านี้ อาจเบียดแทรกและทิ่มตำเนื้อยางให้เสียหายได้
วันที่: 15 Jul 09 - 21:12

 ความคิดเห็นที่: 9 / 27 : 481282
โดย: Gapmy
ข้อพึงระวังในการล้างอัดฉีด
การนำรถเข้ารับบริการล้างอัดฉีด จะช่วยจัดคราบความสกปรกต่างๆ ที่เกาะติดอยู่ตามตัวถังรถได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีข้อพึงระวังดังนี้ 1. ไม่ควรล้างรถในขณะที่เครื่องยนต์ยังมีอุณหภูมิสูงเพราะจะทำให้ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่ยังคงมีความร้อนสะสมอยู่ เกิดการเปลี่ยนแปลง ของอุณหภูมิอย่างกระทันหัน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ 2. น้ำที่แรงดันสูง อาจจะก่อให้เกิดผลเสียกับสีรถ โดยเฉพาะรถเก่าซึ่งสี ตามบริเวณขอบมุมต่างๆ อาจจะหลุดล่อนได้ง่าย 3. ไม่ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงเพราะอาจจะทำให้วัสดุประเภทพลาสติก เสียรูปทรงได้ 4. ในขณะฉีดน้ำล้างรถ หัวฉีดควรอยู่ห่างจากตัวรถอย่างน้อย 50 เซนติเมตร เพื่อป้องกันความแรงของสายน้ำ 5. ไม่ควรล้างรถในเวลากลางคืน เพราะความชื้นที่เกิดจากการล้างรถ บริเวณซอกมุมต่างๆ จะแห้งช้า ซึ่งความชื้นดังกล่าวนี้จะป็นสาเหตุให้ เกิดสนิมได้ง่าย ก่อนนำรถไปรับบริการล้างอัดฉีดก็ควรเช็กข้อมูลจากสถานให้บริการก่อนว่า มีปัจจัยใดที่อาจส่งผลให้เกิดผลเสียกับรถยนต์แสนรัก ของคุณหรือเปล่า เพื่อยืดอายุการใช้งานรถยนต์ของคุณให้ยาวนานขึ้น
วันที่: 15 Jul 09 - 21:18

 ความคิดเห็นที่: 10 / 27 : 481284
โดย: Gapmy
ยางระเบิด ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถ
ยางระเบิด ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถ ยางระเบิด - ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถก็คือ ยางระเบิด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณได้ตลอดเวลา และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ผู้ขับขี่บางคนไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงและบางรายเสียชีวิต ข่าวคราวเรื่องยางระเบิดจึงมีบ่อย ๆ แม้แต่ในต่างประเทศก็เกิดขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท ให้คุณถือคติที่ว่า “ การป้องกันดีกว่าการแก้ไข “ ก่อนนำรถออกใช้งานจึงควรตรวจสภาพของยางทุกเส้นว่าพร้อมที่จะใช้งานหรือไม่ ถ้าพบว่าผิดปกติก็ขอให้แก้ไขเสียก่อน การตรวจสภาพยางนั้นใช้เวลาไม่นานนักคุณก็จะทราบได้ อาการเบื้องต้นของยางที่เสื่อมสภาพมีดัง ลมอ่อนบ่อย ๆ โดยไม่พบรอยรั่ว มีอาการบวมที่แก้มยางหรือหน้ายาง เบรกรถที่ควรต่ำ ยางมีเสียงดังคล้ายการเบรกอย่างรุนแรง ขณะเลี้ยวโค้งที่ความเร็วต่ำ ยางมีเสียงดัง พวงมาลัยหรือตัวรถมีอาการสั่น ทั้ง ๆ ที่ได้ทำการถ่วงล้อมาแล้ว และโช็กอัปไม่เสีย ถ้าพบอาการดังกล่าวมาแล้ว ผู้เขียนขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนยางใหม่จะปลอดภัยกว่า สาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดขณะรถมีดังนี้ ยางหมดอายุการใช้งาน เช่น แก้มยางมีรอยแตกลายงา บวม ฉีกขาด ดอกยางหมดสภาพ เป็นต้น ยางเก่าเก็บ ขับรถโดยใช้ความเร็วเกินพิกัดยางที่กำหนดไว้ บรรทุกน้ำหนักเกินค่ากำหนด สูบลมยางไม่ถูกต้อง เปลี่ยนยางใหม่แต่ใช้จุ๊บเติมลมอันเก่า ยางร้อนจัดเนื่องมาจากเบรกติดที่ล้อใดล้อหนึ่ง กรณีนี้อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้ ข้อสังเกต ยางเปอเซ็นต์หมายถึงยางที่ใช้แล้ว โดยร้านยางรับซื้อมาจากผู้ที่มาเปลี่ยนยางใหม่ จำนวนเปอเซ็นต์จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความลึกลับของดอกยางถ้าดอกยางสึกจนถึงสะพานยางซึ่งเป็นแถบอยู่ในร่องยาง แสดงความลึกของดอกยางเหลือเพียง 1.6 มิลลิเมตร ถือว่ายางเส้นนี้เท่ากับศูนย์เปอร์เซ็นต์ คุณควรเปลี่ยนยางใหม่ได้แล้ว ไม่ควรใช้ต่อไป เพราะอันตรายมาก เนื่องจากยางไม่สามารถรีดน้ำได้ในขณะฝนตก ทำให้รถไม่เกาะถนนและลื่นไถลได้ง่ายขณะเบรก ร้านยางบางแห่งนำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่แล้วนำมาขายในราคาถูก ถ้าผู้ขับขี่ไปซื้อมาใส่รถอาจทำให้ยางระเบิดได้ มีวิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าร้านยางนำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่หรือไม่ โดยดูที่ร่องดอกยาง ถ้าไม่มีสะพานยางติดอยู่แสดงว่านำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่ ต้องระวังให้ดี ผู้ขับขี่ซื้อยางเปอร์เซ็นต์มาใส่ เลือกใช้ยางไม่ถูกขนาด เช่น เอายางรถเก๋งมาใส่รถปิกอัป เป็นต้น แก้มยางเสียดสีกับขอบถนน อาการเตือนก่อนที่ยางจะระเบิด
วันที่: 15 Jul 09 - 21:21

 ความคิดเห็นที่: 11 / 27 : 481286
โดย: Gapmy
ทำใงแอร์ไม่เย็น
ปัญหาเรื่องแอร์ไม่เย็นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะขับรถ ทุกท่านที่ขับรถคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าอากาศบ้านเรามีมลพิษมากขึ้น โยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษที่เกิดจากรถยนต์ ซึ่งนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในตัวเมืองด้วยแล้วยิ่งอันตรายมาก เนื่องจากสภาพการจราจรที่ติดขัดและจำนวนรถก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ขาดความเอาใจใส่อย่างจริงจัง ปล่อยให้รถที่มีมลพิษมากยังวิ่งได้อยู่ทุกวัน ดังนั้นขณะขับรถ ผู้ขับขี่ส่วนมากจะต้องเปิดแอร์เพื่อหนีมลพิษและเพื่อความเย็นสบาย แต่ถ้าแอร์รถของคุณไม่เย็นก็อาจส่งผล ทำให้คุณเครียด หงุดหงิด และเสียสมาธิได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามรถติด คำแนะนำหลังจากเปิดแอร์แล้ว จะมีน้ำไหลออกมาจากท่อน้ำทิ้งใต้ตู้แอร์แล้วหยดลงบน พื้นถนน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่มีน้ำหยดแสดงว่าท่อน้ำทิ้งอุดตันควรทำความสะอาดทันที ถ้า ปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้ตู้แอร์รั่วซึมได้ ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบปรับอากาศรถยนต์คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่ดูดและอัดน้ำยาแอร์ให้มีความดันสูงขึ้นและทำให้น้ำยาแอร์หมุนเวียนในระบบ ติดตั้งอยู่ที่เครื่องยนต์ อาศัยแรงขับจากเครื่องยนต์ ผ่านสายพาน มักเรียกกันว่า คอมแอร์ คอนเดนเซอร์ ทำหน้าที่ระบายความร้อนน้ำยาแอร์ที่ออกจาก คอมเพรสเซอร์ โดยอาศัยพัดลมระบายความร้อนหรือลมปะทะขณะรถวิ่งรีซีฟเวอร์ - ดรายเออร์ ทำหน้าที่ดูดความชื่น กรองสิ่งสกปรกในน้ำยาแอร์และกักเก็บน้ำยาแอร์ให้มีปริมาณเหมาะสมกับการใช้งานในระบบ ติดตั้งระหว่างคอนเดนเซอรืกับตู้แอร์ ที่ด้านบนจะมีตาแมวเพื่อใช้ดูว่าน้ำยาแอร์มีเพียงพอหรือไม่ นอกจากนี้บางรุ่นยังมีสวิตซ์ความดันติดตั้งอยู่ด้วย สวิตช์นี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์เสียหาย ถ้าความดันใ นระบบสูงหรือต่ำเกินไป ชุดคลัตช์แอร์จะตัดการทำงานทันที ตู้แอรติดตั้งอยู่ในห้องโดยสารบริเวณหลังแผงหน้าปัด มีส่วนประกอบที่สำคัญคอีวาปอเรเตอร์ ทำหน้าที่เปลี่ยนอากาศร้อนให้อากพัดลมตู้แอร์หรือชุดโบลว์เออร์ ทำหน้าที่ดูดอากาศร้อนภายในห้อง โดยสารให้ผ่านอีวาปอเรเตอร์เป็นลมเย็นเป่าออกทางช่องลมเอกซ์แพนชันวาล์ว ทำหน้าที่ปรับความดันของน้ำยาแอร์มีคุณสมบัติในการดูด ความร้อนจากอากาศทำความร้อน ใช้ความร้อนจากน้ำหล่อเย็นของเครื่องยนต์มาอุ่นให้อากาศร้อนขึ้นแล้วเป่าออกมาโดยพัดลม ตามปกติใช้ในขณะอากาศหนาว สาเหตุที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นเกิดจาก ฟิวส์และรีเลย์ในวงจรเครื่องปรับอากาศชำรุด และขั้วต่อสายไฟตามจุดต่าง ๆ ต่อไว้ไม่แน่น สวิตช์ความดันสูง – ต่ำในระบบชำรุด หรือขั้วต่อไม่แน่น ทำให้คอม – เพรสเซอร์แอร์ไม่ทำงาน ถ้าความดันในระบบสูงหรือต่ำเกินไป คอมเพรสเซอร์ก็จะไม่ทำงานเช่นกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์แอร์เสียหาย คลัตช์แม่เหล็กไม่ทำงาน หรือสายไฟเข้าคลัตช์แม่เหล็กขาด สายพานแอร์หย่อนเกินไปหรือขาด ทำให้คอมเพรสเซอร์หมุนช้าหรือไม่หมุน พัดลมไฟฟ้าของแอร์ไม่ทำงานหรือหมุนช้า ทำให้ความร้อนที่คอน –เดนเซอร์ ( คอยล์ร้อน ) สูง สาเหตุอาจเกิดจากแบตเตอรี่มีไฟไม่พอ หรือตัวมอเตอร์พัดลมแอร์เริ่มเสื่อมสภาพ มีเศษผงหรือสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ด้านหน้าคอนเดนเซอร์แอร์ ควรใช้ลมที่มีความดันไม่เกิน 10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป่าทำความสะอาด อย่าใช้ลมที่มีความดันสูงกว่านี้ เพราะอาจทำให้ครีบทที่คอนเดนเซอร์แอร์บิดงอ ตัวเอ็กซ์แพนชัววาล์วเสียหรือเสื่อมสภาพ ทำให้คอมเพรสเซอร์ แอร์ตัด – ต่อบ่อยเกินไป ตัวรีซีฟเวอร์ - ดรายเออร์เสื่อมสภาพ ที่ด้านบนจะมีกระจกใสเพื่อตรวจดูน้ำยาแอร์ว่ามีเพียงพอหรือไม่ ถ้ากระจกใสหรือมีฟองอากาศเล็กน้อยแสดงว่าปกติ น้ำยาแอร์รั่วซึมตามจุดต่าง ๆ เช่น บริเวณข้อต่อ รั่วที่ซีลดโอริง รั่วที่คอนเดนเซอร์ ( คอยล์ร้อน ) รั่วที่บริเวณใต้ตู้แอร์ เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ภายในตู้ทำให้เกิดการผุกร่อน ปัจจุบันตู้แอร์ส่วมมากทำด้วยอะลูมิเนียม ถ้ามีน้ำขังอยู่จะทำให้ตู้แอร์รั่วได้ง่าย คอมเพรสเซอร์แอร์เสื่อมสภาพ น้ำยาแอร์รั่วตามจุดต่าง ๆ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็น จุดที่น้ำยาแอร์รั่วบ่อยได้แก่ตู้แอร์ เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ วิธีตรวจว่าระบบปรับอากาศรถยนต์ทำงานปกติหรือไม่ ทำได้โดยติดเครื่องยนต์และเปิดแอร์ ใช้มือจับที่ท่อดูดจะเย็นหรือบางทีมีน้ำเกาะ ส่วนที่ท่อจ่ายจะร้อน ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าระบบปรับอากาศทำงานตามปกติ
วันที่: 15 Jul 09 - 21:23

 ความคิดเห็นที่: 12 / 27 : 481288
โดย: Gapmy
ทำใงแอร์ไม่เย็น
ปัญหาเรื่องแอร์ไม่เย็นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะขับรถ ทุกท่านที่ขับรถคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าอากาศบ้านเรามีมลพิษมากขึ้น โยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษที่เกิดจากรถยนต์ ซึ่งนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในตัวเมืองด้วยแล้วยิ่งอันตรายมาก เนื่องจากสภาพการจราจรที่ติดขัดและจำนวนรถก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ขาดความเอาใจใส่อย่างจริงจัง ปล่อยให้รถที่มีมลพิษมากยังวิ่งได้อยู่ทุกวัน ดังนั้นขณะขับรถ ผู้ขับขี่ส่วนมากจะต้องเปิดแอร์เพื่อหนีมลพิษและเพื่อความเย็นสบาย แต่ถ้าแอร์รถของคุณไม่เย็นก็อาจส่งผล ทำให้คุณเครียด หงุดหงิด และเสียสมาธิได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามรถติด คำแนะนำหลังจากเปิดแอร์แล้ว จะมีน้ำไหลออกมาจากท่อน้ำทิ้งใต้ตู้แอร์แล้วหยดลงบน พื้นถนน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่มีน้ำหยดแสดงว่าท่อน้ำทิ้งอุดตันควรทำความสะอาดทันที ถ้า ปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้ตู้แอร์รั่วซึมได้ ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบปรับอากาศรถยนต์คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่ดูดและอัดน้ำยาแอร์ให้มีความดันสูงขึ้นและทำให้น้ำยาแอร์หมุนเวียนในระบบ ติดตั้งอยู่ที่เครื่องยนต์ อาศัยแรงขับจากเครื่องยนต์ ผ่านสายพาน มักเรียกกันว่า คอมแอร์ คอนเดนเซอร์ ทำหน้าที่ระบายความร้อนน้ำยาแอร์ที่ออกจาก คอมเพรสเซอร์ โดยอาศัยพัดลมระบายความร้อนหรือลมปะทะขณะรถวิ่งรีซีฟเวอร์ - ดรายเออร์ ทำหน้าที่ดูดความชื่น กรองสิ่งสกปรกในน้ำยาแอร์และกักเก็บน้ำยาแอร์ให้มีปริมาณเหมาะสมกับการใช้งานในระบบ ติดตั้งระหว่างคอนเดนเซอรืกับตู้แอร์ ที่ด้านบนจะมีตาแมวเพื่อใช้ดูว่าน้ำยาแอร์มีเพียงพอหรือไม่ นอกจากนี้บางรุ่นยังมีสวิตซ์ความดันติดตั้งอยู่ด้วย สวิตช์นี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์เสียหาย ถ้าความดันใ นระบบสูงหรือต่ำเกินไป ชุดคลัตช์แอร์จะตัดการทำงานทันที ตู้แอรติดตั้งอยู่ในห้องโดยสารบริเวณหลังแผงหน้าปัด มีส่วนประกอบที่สำคัญคอีวาปอเรเตอร์ ทำหน้าที่เปลี่ยนอากาศร้อนให้อากพัดลมตู้แอร์หรือชุดโบลว์เออร์ ทำหน้าที่ดูดอากาศร้อนภายในห้อง โดยสารให้ผ่านอีวาปอเรเตอร์เป็นลมเย็นเป่าออกทางช่องลมเอกซ์แพนชันวาล์ว ทำหน้าที่ปรับความดันของน้ำยาแอร์มีคุณสมบัติในการดูด ความร้อนจากอากาศทำความร้อน ใช้ความร้อนจากน้ำหล่อเย็นของเครื่องยนต์มาอุ่นให้อากาศร้อนขึ้นแล้วเป่าออกมาโดยพัดลม ตามปกติใช้ในขณะอากาศหนาว สาเหตุที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นเกิดจาก ฟิวส์และรีเลย์ในวงจรเครื่องปรับอากาศชำรุด และขั้วต่อสายไฟตามจุดต่าง ๆ ต่อไว้ไม่แน่น สวิตช์ความดันสูง – ต่ำในระบบชำรุด หรือขั้วต่อไม่แน่น ทำให้คอม – เพรสเซอร์แอร์ไม่ทำงาน ถ้าความดันในระบบสูงหรือต่ำเกินไป คอมเพรสเซอร์ก็จะไม่ทำงานเช่นกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์แอร์เสียหาย คลัตช์แม่เหล็กไม่ทำงาน หรือสายไฟเข้าคลัตช์แม่เหล็กขาด สายพานแอร์หย่อนเกินไปหรือขาด ทำให้คอมเพรสเซอร์หมุนช้าหรือไม่หมุน พัดลมไฟฟ้าของแอร์ไม่ทำงานหรือหมุนช้า ทำให้ความร้อนที่คอน –เดนเซอร์ ( คอยล์ร้อน ) สูง สาเหตุอาจเกิดจากแบตเตอรี่มีไฟไม่พอ หรือตัวมอเตอร์พัดลมแอร์เริ่มเสื่อมสภาพ มีเศษผงหรือสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ด้านหน้าคอนเดนเซอร์แอร์ ควรใช้ลมที่มีความดันไม่เกิน 10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป่าทำความสะอาด อย่าใช้ลมที่มีความดันสูงกว่านี้ เพราะอาจทำให้ครีบทที่คอนเดนเซอร์แอร์บิดงอ ตัวเอ็กซ์แพนชัววาล์วเสียหรือเสื่อมสภาพ ทำให้คอมเพรสเซอร์ แอร์ตัด – ต่อบ่อยเกินไป ตัวรีซีฟเวอร์ - ดรายเออร์เสื่อมสภาพ ที่ด้านบนจะมีกระจกใสเพื่อตรวจดูน้ำยาแอร์ว่ามีเพียงพอหรือไม่ ถ้ากระจกใสหรือมีฟองอากาศเล็กน้อยแสดงว่าปกติ น้ำยาแอร์รั่วซึมตามจุดต่าง ๆ เช่น บริเวณข้อต่อ รั่วที่ซีลดโอริง รั่วที่คอนเดนเซอร์ ( คอยล์ร้อน ) รั่วที่บริเวณใต้ตู้แอร์ เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ภายในตู้ทำให้เกิดการผุกร่อน ปัจจุบันตู้แอร์ส่วมมากทำด้วยอะลูมิเนียม ถ้ามีน้ำขังอยู่จะทำให้ตู้แอร์รั่วได้ง่าย คอมเพรสเซอร์แอร์เสื่อมสภาพ น้ำยาแอร์รั่วตามจุดต่าง ๆ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็น จุดที่น้ำยาแอร์รั่วบ่อยได้แก่ตู้แอร์ เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ วิธีตรวจว่าระบบปรับอากาศรถยนต์ทำงานปกติหรือไม่ ทำได้โดยติดเครื่องยนต์และเปิดแอร์ ใช้มือจับที่ท่อดูดจะเย็นหรือบางทีมีน้ำเกาะ ส่วนที่ท่อจ่ายจะร้อน ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าระบบปรับอากาศทำงานตามปกติ
วันที่: 15 Jul 09 - 21:26

 ความคิดเห็นที่: 13 / 27 : 481290
โดย: Gapmy
การใช้เพลาขับให้มีอายุยาวนาน
-------------------------------------------------------------------------------- การเกิดเสียงดังจากช่วงล่างด้านหน้าเมื่อทำการหักเลี้ยว หรือใช้ความเร็วสูง เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าเพลาขับกำลังมีปัญหา ระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ในปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ที่มีเพลาขับเป็นอุปกรณ์ของระบบส่งกำลัง ซึ่งได้รับกำลังงานจากเครื่องยนต์ และถ่ายทอดไปสู่ล้อ ปลายของเพลาด้านหนึ่งจะต่อเข้าชุดเกียร์ ส่วนปลายของเพลาอีกด้านหนึ่งจะต่อเข้ากับล้อโดยมียางห่อหุ้มเพลาทั้งสองข้าง (ยางหุ้มเพลาขับมีลักษณะเป็นกระเปาะยางเพื่อป้องกันฝุ่นเศษดินทราย ที่จะเข้าไปทำอันตรายกับชุดเพลาขับทำให้เกิดการชำรุดได้) ดังนั้นถ้าเพลาขับ เกิดการชำรุด นอกจากจะมีผลเสียต่อระบบอื่น ๆ ของเครื่องยนต์แล้ว ถ้าเสียหายมากอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเพลาขับคู่ใหม่ค่อนข้างสูง ฉะนั้นจะทำอย่างไรให้เพลาขับมีอายุการใช้งานยาวนาน ประการแรก หลีกเลี่ยงการออกรถอย่างรุนแรง เพราะแรงกระชากของเครื่องยนต์ สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อเพลาขับได้ นอกจากนี้ยังไม่ควรเบรกอย่างกะทันหัน เพราะแรงฉุดของเบรกก็มีผลต่อเพลาขับด้วยเช่นกัน ผู้ขับขี่จึงควรออกรถอย่างนิ่มนวล และเมื่อต้องการเบรก ควรชะลอความเร็ว และเริ่มเหยียบเบรกอย่างช้า ๆ จนกว่ารถจะหยุดสนิท เพื่อให้การหยุดรถเป็นไปอย่างนิ่มนวล โดยไม่มีแรงการเบรก มากระทำกับเพลาขับ มากเกินไป ประการที่สอง หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่แคบ เพราะการเลี้ยวเข้า ออกต้องใช้ วงเลี้ยวที่แคบ การเคลื่อนรถในขณะวงเลี้ยวหักสุด เพลาขับตัวนอก จะต้องรับภาระอย่างหนัก ในการรับกำลังจากเครื่องยนต์ เพื่อเอาชนะแรงเสียดทาน ของพื้นถนน ในขณะหักเลี้ยวสุด แต่หากมีความจำเป็น ควรหักพวงมาลัยด้วยมุมเลี้ยว ที่กว้างก่อน แล้วเคลื่อนรถออก ต่อจากนั้น ค่อยหักพวงมาลัยเป็นมุมแคบสุด ประการที่สาม หลีกเลี่ยงการขับรถบนถนนลูกรัง หรือถนนที่มีหลุมบ่อมาก ๆ เพราะอาจเกิดการกระแทกจากหินและดิน ทำให้ยางหุ้มเพลาขับเกิดการฉีกขาดได้ ควรขับขี่ด้วยความเร็วต่ำและใช้ความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ประการที่สี่ หลีกเลี่ยงการขับขี่ในพื้นที่สูงชัน เช่น อาคารสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้า ที่ต้องขับรถวนไปยังที่จอด เนื่องจากรถยนต์ต้องใช้แรงส่งกำลัง มากกว่าปกติ เป็นผลให้ เพลาขับทำงานหนัก และเกิดการเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ประการสุดท้าย หากเครื่องยนต์มีอาการสะดุด หรือกระตุกในขณะขับขี่ ผู้ขับขี่ไม่ควรในขับรถต่อไปเป็นระยะทางไกล ๆ ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็ก ที่ศูนย์บริการใกล้บ้านทันที นอกจากหลักการข้างต้นแล้ว ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจเช็กยางหุ้มเพลาขับ ซึ่งอยู่บริเวณใต้ท้องรถด้านหน้า และถ้าตรวจพบว่ายางหุ้มเพลาขับนั้นฉีกขาดควรรีบทำการเปลี่ยนเสียใหม่ อย่าปล่อยทิ้งไว้มิฉะนั้นอาจต้องเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อเปลี่ยนเพลาขับเลยก็ได้
วันที่: 15 Jul 09 - 21:34

 ความคิดเห็นที่: 14 / 27 : 481298
โดย: Gapmy
เครื่องร้อนแล้วดับติดยาก
รถยนต์คู่ใจของคุณเคยมีอาการต่อไปนี้ไหมครับ คือ หลังจากสตาร์ตรถและใช้รถจนเครื่องยนต์ร้อน แล้วดับเครื่องยนต์เพื่อไปติดต่องานสักพัก จากนั้นจึงกลับมาสตาร์ตรถอีกเพื่อเดินทางต่อปรากฏว่ามอเตอร์สตาร์ตหมุนทำงาน แต่เครื่องไม่ติดทั้ง ๆ ที่เครื่องร้อน ต้องทิ้งไว้ให้เครื่องยนต์เย็นจึงจะสตาร์ตติด อาการดังกล่าว อาจเกิดได้จากลหายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกอาจะเป็นเพราะการปรับส่วนผสมระหว่างปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศหรือที่เรียกว่าผสมไอดี ในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ไม่เหมาะสม คือ ให้น้ำมันเชื้อเพลิงผ่านเข้าไปน้อย ในขณะที่ปล่อยให้อากาศเข้าไปมากหรือเรียกว่าส่วนผสมบางเวลาเครื่องยนต์ร้อนจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ตติดยากหรือไม่ติดซึ่งปกติแล้ว การปรับแต่งส่วนผสมไอดีของเครื่องยนต์ต้องได้รับการปรับแต่งจากช่างที่มีความชำนาญที่ศูนย์บริการมาตรฐานเท่านั้นนะครับ กรณีเครื่องยนต์เบนซินอาจเป็นเพราะคอยล์จุดระเบิดเสื่อม เนื่องจากคอยล์จุดระเบิดเป็นที่สิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับเครื่องยนต์เก่าหรือใหม่ จะต้องใช้คอยล์จุดระเบิดในการสร้างไฟฟ้าแรงสูง ถ้าคอยล์จุดระเบิดเสื่อมหรือร้อนจัดอาจทำให้เครื่องยนต์สตาร์ตไม่ติด คุณจะต้องรอจนกว่าเครื่องยนต์และคอยล์จุดระเบิดเย็นลงจึงจะสตาร์ตเครื่องยนต์ติด ทางที่ดีผมแนะนำให้นำรถเข้าศูนย์เพื่อเปลี่ยนคอยล์จุดระเบิดใหม่ดีกว่าครับ นอกเหนือจากคอยล์แล้วยังมีส่วนอื่น ๆ ประกอบกันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้ ในกรณีนี้อุปกรณ์ตัวหนึ่งของการจุดระเบิดอาจมีปัญหา ส่งผลให้เครื่องยนต์สตาร์ตไม่ติด ลักษณะเช่นนี้จะต้องทำการแก้ไขด้วยช่างที่มีความชำนาญที่ศูนย์บริการมาตรฐานเพื่อทำการตรวจเช็กและแก้ไขให้เป็นปกติ มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาขึ้นมาอีกเวลาเครื่องยนต์ร้อน สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล อาการเครื่องร้อนแล้วดับติดยากอาจมีสาเหตุมาจากการที่ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ระบบไฟฟ้าเสื่อมได้เช่นกัน ดังนั้นถ้ารถคู่ใจของคุณมีอาการดังกล่าว ผมแนะนำให้นำรถเข้าไปตรวจเช็กและแก้ไขปัญหาที่ศูนย์บริการมาตรฐานของแต่ละยี่ห้อนะครับ
วันที่: 15 Jul 09 - 21:44

 ความคิดเห็นที่: 15 / 27 : 481304
โดย: Gapmy
สารพันยางรถยนต์
สารพันยางรถยนต์ 1. รัน - อินต้องมีการรัน-อิน ยางใหม่ก็เช่นกันในช่วง 100 - 200 กิโลเมตรแรก ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 80 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อให้โครงสร้างแก้มยาง และหน้ายางมีการปรับตัว เพราะยางทุกเส้น ถูกผลิตออกมาให้รับกับมุมแคมเบอร์ของล้อเท่ากับ 0 คือตั้งฉากกับพื้น แต่รถยนต์ทุกคันไม่ได้มีมุมแคมเบอร์เท่ากับ 0 มีทั้งแบะหรือหุบ ในช่วงแรกจึงต้องใช้เวลาให้หน้ายางสึกปรับตัวรับกับศูนย์ล้อ 2. ถ่วงล้อยางต้องหมุนนับพันรอบต่อนาที โดยเฉพาะล้อคู่หน้าที่มีการเลี้ยงด้วยจึงต้องมีการถ่วงสมดุล เพราะถ้าล้อคู่หน้าไมได้สมดุล มักมีอาการพวงมาลัยสั่นในบางช่วงความเร็ว และทำให้ลูกปืนล้อหรือช่วงล่างมีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ หรือถอดยางออกจากระทะล้อ เพื่อสลับยางหรือเปลี่ยนยาง ต้องมีการถ่วงสมดุลใหม่เสมอ เมื่อใช้งานไปสัก 40 - 50 % ของอายุการใช้งานยาง ควรถอดมาถ่วงสมดุล เพราะการสึกหรออาจไม่สม่ำเสมอกัน ถ้าใช้วิธีถอดกระทะล้อออกมาถ่วงสมดุล แล้วยังมีอาการสั่นของพวงมาลัยบางช่วงความเร็ว ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีถ่วงแบบจี้ คือ ไม่ต้องถอดล้อออกจากรถยนต์เป็นการถ่วงสมดุลกระทะล้อ , ยาง , จานดิสก์เบรก , เพลาขับ , ลูกปืนล้อ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง แต่โดยทั่วไป การถอดล้ออกมาถ่วงภายนอกก็เพียงพอแล้ว 3. ลมยางแรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่นส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28 - 32 ปอนด์/ตารางนิ้ว (PSI) สำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้มาตรฐานที่ได้มาตรฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย - ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตราเร่งลดลง จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย - ขวา ของหน้ายางมากกว่าแนวกลาง บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา เดินทางไกล ควรเติมแรงดันลมยางแข็งกว่าปกติ 2 - 3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อป้องกันยางร้อนมาก หรือแรงดันลมสูงเกินไปจนระเบิด อาจตรงข้ามกับความคิดผิดๆที่ว่า เมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงและต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและมีแรงดันลมเพิ่มขึ้น จากหลักการของก๊าซ อากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดันลมเพิ่ม จึงคิดว่าน่าจะลดแรงดันลมลงจากปกติ ซึ่งผิด เพราะหากมีการลดแรงดันยางลงในขณะที่เดินทางไกล ยางจะกลับร้อนและมีแรงดันสูงมาก เพราะแก้มยางจะบิดตัวมากจนร้อน และทำให้แรงดันลมสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว วิธีที่ถูกต้อง คือ เพิ่มแรงดันลมขึ้น 2 - 3 ปอนด์ เพื่อป้องกันการเปิดตัวของแก้มยางมากจนร้อน เป็นการป้องกันล่วงหน้า เช่น ยางที่มีแรงดันลม 32 ปอนด์ มากกว่าปกติ 2 ปอนด์ เมื่อเดินทางไกลอาจจะมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นจากความร้อนเพียง 2 ปอนด์ แต่ถ้าแรงดันลมเหลือ 28 ปอนด์ ยางจะบิดตัวมากและร้อนมากกว่าอาจมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นถึง 5 - 6 ปอนด์ และก็เป็นลมที่มีความร้อนสูงกว่าการเติมลมแรงดันสูงเผื่อไว้ 4. สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร ควรสลับยางพร้อมกระทะล้อหน้า - หลังในแต่ละด้าน เพื่อให้มีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น เพราะยางคู่ที่ใส่กับล้อขับเคลื่อนจะมีการสึกหรอมากกว่ายางอีกคู่หนึ่ง อย่าลืมดูทิศทางการหมุนและถ่วงล้อใหม่ด้วย แนวทางการสลับยาง และระยะทางที่เหมาะสม มักทีกำหนดในคู่มือประจำรถยนต์ ถ้าไม่สลับยางแล้วมีการสึกหรอไม่เท่ากัน หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยางครั้งละคู่หรือ 2 ล้อ เพราะทำให้ต้องเปลี่ยนสลับครั้งละคู่ไปเรื่อยๆเสียเวลาและไม่ถูกต้อง ในการเปลี่ยนยาง ไม่ควรใช้ยางต่างรุ่นดอกกันในแกนล้อเดียวกันเพราะประสิทธิภาพการเกาะถนนจะแย่ลง ควรใช้ยางขนาดเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ 5. หมั่นตรวจสอบการสึกหรอของดอกยางนอกจากตรวจสอบความลึกของดอกยางและสลับตามระยะทางแล้ว ยังควรหมั่นสังเกตการสึกหรอที่ผิดปกติตลอดหน้ายาง ซึ่งมีหลายลักษณะ ถ้าหน้ายางสึกเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าศูนย์ล้อผิดปกติ แต่ถ้ามีการสึกไม่เรียบเสมอกันตลอดหน้ายาง หรือสึกเป็นบั้งๆอาจเกิดจากระบบช่วงล่างควรรีบแก้ไข เพราะมีผลต่ออาการทรงตัวของรถด้วย 6. หมดสภาพยางหมดอายุได้ในหลายลักษณะหลัก เช่น ดอกหมด , ไม่เกาะ , เนื้อแข็ง , โครงสร้างกระด้าง , แตกปริ , แตกลายงา , เสียงดัง หรือแก้มยางบวม เกิดขึ้นเพียงลักษณะเดียวหรือควบคู่กันก็ถือว่าหมดอายุ ไม่จำเป็นต้องดอกหมดแล้วยางถึงจะหมดสภาพเสมอไป เพราะความลึกของดอกยางเกี่ยวข้องกับการรีดน้ำ ฝุ่น และโคลนเป็นหลัก ส่วนประสิทธิภาพการเกาะถนนและการทรงตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งของเนื้อยางและโครงสร้างภายใน ยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มแข็งตัวขึ้นทีละนิด แต่จะรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง (ประมาณ 1 ปีหรือ 20,000 กิโลเมตร) ตามพื้นฐานของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางที่แพ้ความร้อน เมื่อเนื้อยางแข็ง ดอกยางก็ไม่ค่อยสึก แต่แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับผิวถนนจะลดลง หากเปรียบเทียบอัตราการสึกของดอกยางต่อระยะทาง แทบไม่มียางรุ่นไหนที่ดอกสึกเร็วขึ้นเมื่อผ่านการใช้งานไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสึกช้าลงหรือแทบไม่สึกเลยเมื่อเนื้อยางแข็งกระด้างเต็มที่ ทดสอบง่ายๆโดยใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายางเก่า เปรียบเทียบกับยางใหม่ๆเนื้อยางเก่ามักแทบจิกไม่ลง อายุการใช้งานของยางสำหรับเมืองไทย เฉลี่ยประมาณ 3 ปี หรือ 50,000 - 60,000 กิโลเมตร ก็ถือว่ายางเสื่อมสภาพแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและลักษณะการใช้งาน ถ้าใช้งานเกินระยะทางข้างต้น ควรพิจารณาอย่างละเอียดว่าสภาพของยางดีหรือไม่ เพราะพบว่ายางรถยนต์หลายรุ่นสามารถใช้งานได้นานกว่านั้น ควรหลีกเลี่ยงยางเก่าเก็บ เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการใช้ยางสั้นลงไปอีก ข้อควรระวัง 1. ไม่จอดทิ้งไว้นาน รถยนต์ที่ใช้งานน้อย จอดนิ่งอยู่กับที่น้ำหนักของตัวรถทั้งหมดจะกดลงสู่ยางแต่ละเส้นในจุดเดียว โครงสร้างภายในและแก้มยางจะมีการยืดตัวและเสียความหยืดหยุ่น ยิ่งจอดนิ่งนานๆโครงสร้างของยางยิ่งมีโอกาสเสียง่ายขึ้น ถ้าต้องจอดนานมากทุก 1 สัปดาห์ต้องสตาร์ทเครื่องและนำรถออกไปแล่นอย่างน้อย 2 - 3 กิโลเมตร หรือเดินหน้าถอยหลัง 5 - 10 เมตรหลายๆครั้ง เพื่อให้แก้มยางและโครงสร้างของยางมีการขยับตัว 2. น้ำยาเคลือบ เป็นเรื่องปกติที่คนไทยที่รักสวยรักงาม น้ำยาเคลือบแก้มยางเพื่อเพิ่มความสวยงาม น้ำยาบางชนิดมีฤทธิ์ต่อเนื้อยาง ทำให้บวมหรือเปื่อยในระยะยาว ควรเป็นสารประเภทซิลิโคนจะปลอดภัยกว่า
วันที่: 15 Jul 09 - 21:54

 ความคิดเห็นที่: 16 / 27 : 481306
โดย: Gapmy
เรื่องรู้ทันพนักงานเคลม
เรื่องรู้ทันพนักงานเคลม***** ปัจจุบันเพื่อนๆ ผู้ใช้รถฯโดยทั่วๆไป ที่ ทำประกันภัยรถยนต์ แล้ว คงไม่อยากจะ เจอ กับพนักงานเคลม ของบริษัทฯประกันภัย เป็นแน่แท้ เพราะถ้าเจอแล้ว บางท่านที่ไม่มี ประสบกราณ์ตอน รถชนกัน อาจไม่ทราบ เลยว่า จะต้องปฏิบัติตน อย่างไร จึงจะถูกต้อง ซึ่งผู้เขียนใคร่ ขออธิบาย ให้ท่านทราบ ถึงลักษณะของ อุบัติเหตุ ตามอาชีพ ที่พวกเราเรียก เขาว่า พนักงานเคลม ก่อน ว่าโดย ทั่วๆไปแล้ว คนในอาชีพเคลม เขาแบ่ง ลักษณะการเกิดเหตุ ออกเป็นลักษณะใดบ้าง หลักๆดังนี้ 1. เคลมแห้ง หมายถึง เคลมที่ รถเกิดเหตุมานานแล้ว เพ่งมาแจ้งเหตุ เช่น แผลขูดขีด เป็นต้น 2. เคลมสด หมายถึง เคลมที่ รถชนกันสดๆ และ ยังมีผู้เสียหาย ในเหตุกราณ์ รออยู่ 3. เคลมเสียหายมาก หมายถึง เคลมที่ จะเกิดขึ้นสดๆ หรือ เกิดขึ้นนานแล้ว แต่เสียหายมาก เพิ่งมาแจ้งเหตุ เช่น รถเสียหาย จน ขับไม่ได้ นานมาแล้วเป็น อาทิตย์ เพ่งมาแจ้งเหตุ เป็นต้น ซึ่งใน ภาคธุรกิจประกันวินาศภัย ปัจจุบันมีทั้งบริษัทฯต่างชาติ และ บริษัทฯ ที่มีธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ กันเข้าแข่งขันในการครองตลาดรถ อยู่มาก ผู้บริโภค จึง ไม่อาจจะเลือก โดยเสรี ทางความคิด ได้หมด เพราะ ส่วนมาก ไฟแนซ์ ก็เป็นผู้เกือบจะ บังคับ ให้ตามโปรแกรมการขาย ซะ เป็นส่วนมาก (ไม่รวมรถที่ซื้อเงินสด) จึงไม่รู้เลยว่า บริษัทประกันภัย ที่เขาเลือก ให้เรานั้น ได้มาตราฐาน หรือ จัดให้ตาม ประโยชน์ที่ เซลขายรถ หรือ มารเก็ตติ้ง ของไฟแนซ์ จะไดพนักงานเคลม มีหน้าที่ ออก ตรวจสอบอุบัติเหตุ โดยเร็วที่สุด และ บันทึก รายงาน ถ่ายภาพ ที่เกิดเหตุ รวบรวม พยานหลักฐาน ให้ครบถ้วน สมบรูณ์ที่สุด เพื่อเข้าเป็น รายงานแฟ้มอุบัติเหตุต่างๆ นี่ก็คือ หน้าที่หลัก โดยทั่วไป ซึ่งจาก สถิติ การเกิดเหตุ โดยทั่วๆไปแล้ว เรื่องที่จะมี ปัญหากับท่านผู้อ่าน ก็คือ แจ้งเคลมแห้ง เพราะใน สัญญาประกันภัย ได้ระบุไว้ว่า หากเกิดเหตุ ไม่ทราบ คู่กรณี ท่านก็จะต้อง ถูกเก็บ ค่าเงื่อนไข ไม่ทราบ คู่กรณี ยกเว้น เสีย แต่ว่า ท่าน จะพิสูจน์ ให้ บริษัทฯประกัน ทราบว่า ท่าน ไม่ได้ เป็น ฝ่ายถูกละเมิด (ฝ่ายถูก) จากผู้อื่น แล้วไปเรียกเก็บ ค่าเสียหาย เข้ากระเป๋า ของตนซะเองไปแล้ว ฉะนั้น เวลารถฯ ของท่าน เสียหาย ไม่ว่า จะมาก หรือ น้อย ก็ตามท่าน จะต้องโทรศัพท์แจ้งเหตุไปที่ บริษัทฯประกัน ในทันที และ ต้อง ขอหมายเลขรับแจ้ง และ ชื่อ สกุล ของ พนักงานรับแจ้ง ไว้เป็นหลักฐาน ด้วย ทุกครั้ง เพราะ พนักงานรับแจ้งเหตุ นั้นจะช่วย แนะนำท่าน ในสิ่งที่ ท่าน จะต้อง ทำต่อไปเช่น ถูกชน แล้ว หลบหนีไป ต่อ หน้าต่อตา จะทำอย่างไร ทะเบียนรถ ที่ชน ก็จำ ไม่ได้ อีกซะเลย เป็นต้นพนักงานเคลม บางท่าน จะนำประโยชน์ในสัญญาประกันภัย มาเก็บค่าเงื่อนไขท่าน ซึ่ง หากท่าน คิดว่าจ่าย ไปด้วย ความถูกต้อง แล้ว ก็ควร ขอใบเสร็จรับเงิน จาก บริษัทฯ ที่ท่าน ทำประกัน ไว้เป็น หลักฐานด้วยทุกครั้ง สิ่งสำคัญ หากท่าน ขับรถชน กับ รถคู่กรณี ที่ไม่มี ประกันภัย และ รถของท่าน เป็น ฝ่ายถูกแล้ว ท่านควรตรวจสอบ กับ ไปที่บริษัทฯประกันภัย ที่ท่านทำประกันทุกครั้ง ว่า ตาม รายงาน อุบัติเหตุรถของท่านเป็น ฝ่ายถูกจริง หรือ ไม่ ควรคุย กับ ระดับหัวหน้างาน ของบริษัทฯ นั้นๆเ พราะ ถ้าเป็นฝ่ายถูก ท่านจะได้ รับส่วนลด ประวัติดี ในปีต่อไป ธุรกิจประกันวินาศภัย ในบ้านเรา (เมืองไทย) ยังคงต้อง พัฒนา ยกระดับ มาตราฐานขึ้นอีกมาก พนักงานเคลม บางบริษัทฯมีจริงๆไม่กี่คน นอกนั้นจะต้องจ้าง บริษัท เซอร์เวย์เยอร์ แปลเป็นไทยว่า บริษัท รับสำรวจภัย ซึ่งมีหน้าที่ รับจ้างทำเคลม ให้กับ บริษัทประกันภัยต่าๆ ที่ แจ้งเหตุ เข้ามา ซึ่งบาง บริษัท เซอร์เวย์เยอร์ ก็ไม่มีสาขา เรียกกันว่าเกิดเหตุ ที่จังหวัดนี้ก็ ใช้บริการที่นี่ เป็นต้น ซึ่งเป็นอาจจะทำให้ บริการไม่ทั่วถึง ในช่วงเวลาเร่งด่วน หรือ ในช่วงเทศกาล ซึ่ง ต่างกับ บริษัทประกันภัย ที่มีสาขาหรือ ศูนย์บริการคลอบคลุม อยู่ทุกพื้นที่ การให้บริการ จะทำให้ไปถึง ที่เกิดเหตุ ได้รวดเร็ว ขึ้น อีกเรื่อง ที่ถือว่า สำคัญ ก็คือ จรรยาบรรณ ในการประกอบวิชาชีพ ซึ่งรวมถึง เรื่องของ ความรู้ใน ข้อ กฎหมาย ในคดี รถชนกัน และ มารยาท ความเอาใจใส่ ในการบริการลูกค้า ของพนักงาน เป็นต้น เรื่อง พวกนี้ถือว่าเป็น สาระสำคัญ ในการประกอบธุรกิจฃอง บริษัทประกันภัย ให้มีเชื่อเสียงได้ยาวนาบริษัท เซอร์เวยเยอร์ ต่างๆ บาง บริษัทฯ มีมาตราฐาน ราคา ค่าสำรวจ ก็จะ มาตราฐาน ไปด้วย แต่ปัจจุบัน บริษัท ประกันภัย บางบริษัทฯ ก็ต้องการลดต้นทุน หันไปใช้ บริษัท เซอร์เวยเยอร์ ที่ไม่มี มาตราฐาน มาใช้งาน เพราะ ค่า บริการถูก แต่ ลืม คิดถึง ภาพลักษณ์ของ บริษัทประกันภัยเอง เพราะเวลา ที่ลูกค้าซื้อ ประกันส่วนมาก ก็จะเจอ แต่ เซล หรือ ตัวแทนขายประกัน ไม่เคยเจอ พนักงานเคลม เลย จะมาเจออีกที ก็ตอนมี อุบัติเหตุ หรือ ตอน แจ้งเคลม นี่แหล่ ซึ่งถ้า บริษัทฯประกันภัย ไหน มีมาตราฐาน ในการบริการที่ดี มาถึงที่เกิดเหตุเร็ว ก็คง จะเป็น เรื่องที่ดี กับ พวกเรา คน เคลมฉ้อฉล ปัจจุบัน พวกเราคนใช้รถ ไม่เคย รู้เลย ว่าอุบัติเหตุ จะเกิดขึ้น เมื่อไหร่เมื่อ เกิดขึ้นแล้ว (เบาๆ) ก็ คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ ถ้าเกิดขึ้น หนักๆ แล้ว ผู้ที่จะช่วย ท่านได้มากที่สุด ก็คือพนักงานเคลม นั่นเอง เพราะ อุบัติเหตุ ที่เสียหายมาก มี ผู้คน บาดเจ็บ ล้มตาย มี คดีอาญา เกิดขึ้นความเสี่ยง จะเกิดขึ้น กับผู้ที่ขับขี รถโดยประมาท ตามกฎหมาย ซึ่ง บางบริษัทประกันฯ ก็ ทำตรงไป ตรงมาบางบริษัทประกันฯ ก็(อาจมี) วิ่งคดี หรือ บางบริษัทประกันฯ เชี่ยวชาญ มองเกม ขาด ก็จะ แนะนำให้ลูกค้า มีการบรรเทา ผลคดี หรือ ช่วยเหลือ คู่กรณี ของตน ทางด้านมนุษย์ธรรม เป็นต้น เคลม ฉ้อฉล เกิดขึ้น ได้กับ พนักงานเคลม ที่เรียก หรือ ถูกฝ่ายตรงข้าม ท่านเสนอ ให้ สินบน เพื่อเขาจะได้เป็นฝ่ายถูกหรือไม่ก็ บวกเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่ง ก่อน นัดจ่าย ค่าสินไหมทดแทนต่างๆท่านควร ตรวจสอบกับผู้บริหารของ บริษัทประกันภัยให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง อย่าลืมโทรศัพท์เข้าไปสอบถามด้วยตนเองกับ ฝ่ายตรวจสอบของบริษัทประกันภัย หรือ ผู้จัดการสินไหมฯก็ได้ครับ ท่านจะได้รู้ว่าถูกใครเป็น ผู้เอาเปรียบท่าน กันแน่ บางครั้ง บริษัทประกันฯ อาจเอาเปรียบท่าน ก็ควรเจรากันใหม่ ให้ยุติ ถ้าไม่ยุติ หรือ เห็นว่า ไม่ยุติธรรม ก็ให้ติดต่อ สายด่วน กรมการประกันภัยได้ ที่เบอร์ 1186 ครสุดท้ายนี้ ขออวยพร ให้ท่านผู้อ่าน ขับขี่ ยวดยานพาหนะ ของท่าน ด้วย ความระมัดระวัง เดินทาง โดยปลอดภัย
วันที่: 15 Jul 09 - 21:58

 ความคิดเห็นที่: 17 / 27 : 481307
โดย: Gapmy
แอร์มีกลิ่นเหม็น
ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็น ผมทำงานกลับ บริษัทฯรถเช่าดูแลเกี่ยวกับเรื่องรถ ปัญาหานี้เกิดขึ้นบ่อย เป็นได้ทั้งรถใหม่และรถเก่า ส่วนใหญ่เกิดกับรถใหม่ ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่ต้องการให้รถที่ตนเองใช้มีกลิ่นหอมตามที่ตนเองต้องการ จึงทำการหาซื้อน้ำหอมปรับอากาศที่มีขายอยู่ทั่วไปทั้งราคาถูกหรือแพงแล้วแต่รสนิยมของแต่ละท่าน จากประสบการณ์ ลูกค้า(ผู้เช่ารายปี)จะแจ้งซ่อมแอร์มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว วิธีแก้ไข 1.ให้กำจัดน้ำหอมทุกประเภท จากรถ(ไม่ต้องนำมาใส่อีก) 2.ให้ซื้อใบชาจีนแห้ง(ที่ใช้ชงกิน) ประมาณ 1-2 กล่อง แล้วแต่ปริมาณความเหม็น เทใส่ห่อผ้า(ความสวยงามของห่อผ้าแล้วแต่ดีไซด์) วางเอาไว้หน้ารถ 3.ให้ กด A/C เพื่อปิดการทำงานของ คอมเพรสเซอร์ และเปิดพัดลมให้แรงสุด ก่อนดับเครื่องประมาณ 2-3 นาที 4.วันหยุด ให้นำรถตากแดด โดยเปิดประตูรถทั้ง 4 บาน ทิ้งไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง อย่างน้อย 2 ครั้ง/เดือน (ให้นำแผ่นยางและพรมปูพื้นออกมาตากแดดนอกตัวรถ) งบประมาณ - ทำเอง ชาจีน กล่องละประมาณ 15-30 บาท - ศูนย์บริการ แบบไม่ต้องถอดตู้ ประมาณ 1600-2000 บาท แบบถอดตู้ ประมาณ 3000 ขึ้นไปแล้วแต่ยี่ห้อและความยากง่ายในการถอด
วันที่: 15 Jul 09 - 21:59

 ความคิดเห็นที่: 18 / 27 : 481308
โดย: วิตต์
เอิ้กส์............... เรอเลยกรู อิ่ม

สาระดีมาก ภาพประกอบลงตัว ความขยันเป็นยอด
แต่ความยาวต้องปรับปรุง อ่ะ ล้อเล่น ขอบคุณสำหรับความรู้ พี่อ่านจบไป คห.นึงแระ
คืนพรุ่งนี้มาอ่านอีก สู้ๆ
วันที่: 15 Jul 09 - 22:02

 ความคิดเห็นที่: 19 / 27 : 481312
โดย: Gapmy
สีรถบอกนิสัยชื้อมาแล้วดีหรือไม่
สีที่คุณชอบเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น สีเสื้อ สีเครื่องประดับที่คุณชอบใช้ รวมถึงสีรถ ซึ่งสีที่คุณมักเลือกใช้สามารถบอกถึงบุคลิก อุปนิสัยของคุณได้ ไม่เชื่อต้องลองพิสูจน์ สีแดง หากคุณชอบสีแดง ลักษณะของคุณจะเป็นคนหุนหันพลันแล่น เป็นคนเปิดเผย และมักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด อันนี้เป็นข้อเสียของคุณ แต่ยังไงคุณก็เป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างสนุกสนานเฮฮาได้ และเป็นดาวเด่นเชียวล่ะแถมสุขภาพดีอีกต่างหาก สีม่วง คนที่ชอบสีม่วงจะมีความเป็นศิลปิน มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบค้นคิดสิ่งแปลกใหม่ แหวกแนว จนบางครั้ง คนใกล้ชิดของคุณอาจหาว่าคุณเพี้ยน ๆ ก็ได้นะ สีฟ้าหรือสีน้ำเงิน คนที่โปรดปรานสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน จะเป็นคนรักความสงบ มองโลกในแง่ดี น่าเชื่อถือ และถ้าหากมองดูจากภายนอก คุณออกจะเป็นคนที่อารมณ์มั่นคง ใจเย็น แต่ภายใน กลับเป็นคนอ่อนแอ จิตใจหวั่นไหว และไม่เข้มแข็ง มีเรื่องอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจนิดหน่อย คุณก็รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ซะแล้ว สีเขียว คนที่ชอบสีเขียว จะเป็นคนมองโลกในแง่ดี มักจะเลือกสรรเลือกใช่แต่สิ่งที่ดีมีคุณค่าต่อชีวิต ไม่ได้หมายถึงใช้แต่ของราคาแพงนะ แต่รู้จักเลือกซื้อของที่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปต่างหาก สีเหลือง หากคุณชื่นชอบสีเหลือง บ่งบอกว่า คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก ๆ เป็นคนที่ร่าเริง สดใส มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ใครได้อยู่ใกล้ก็พลอยสดชื่นไปด้วยชอบแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา สนใจสิ่งที่เป็นประโยชน์ ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ระมัดระวังตัว เป็นคนชอบเข้าสมาคม และมักทำให้คนอื่นมีความสุข และคุณเป็นเพื่อนที่ไว้วางใจได้ค่ะ สีบรอนซ์ทอง หากคุณโปรดปรานสีบรอนซ์ทองเป็นพิเศษ ลักษณะของคุณแสดงถึงความมั่งมี รสนิยมสูง ชอบใช้ของดีมีราคา และมีนิสัยใจร้อน อยากได้อะไรก็ต้องได้ คิดจะทำอะไรก็ต้องให้สำเร็จรวดเร็วทันใจ บางครั้งเมื่อพบกับความผิดหวัง จะรับไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ท้อแท้ กลับเกิดทะเยอทะยานเพื่อเอาชนะให้ได้ สีขาวคนที่ชอบสีขาว จะเป็นคนซื่อสัตย์ จิตใจขาวสะอาดเหมือนสีที่ชอบล่ะใครที่ได้อยู่ใกล้ชิดจะรู้สึกอบอุ่น และคุณเองก็ต้องการให้คนอื่นมาสนใจและมองเห็นความสำคัญของตัวคุณด้วย สีดำ หากคุณชื่นชอบสีดำ บ่งบอกว่าคุณเป็นคนฉลาด งามสง่า มีเสน่ห์ แต่แฝงด้วยความลึกลับ คุณจะไม่ชอบให้ใครมาจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัว ภายนอกดูน่าเกรงขาม พูดน้อย แต่ส่วนลึกแล้วคุณเป็นคนค่อนข้างใจดีทีเดียว
วันที่: 15 Jul 09 - 22:11

 ความคิดเห็นที่: 20 / 27 : 481377
โดย: artisgod2
กระทู้ดีมีสาระ ชอบครับ
วันที่: 16 Jul 09 - 02:09

หน้าที่: [1]   2