Close this window

ขอข้อมูลเครื่องยนต์ของ mazda Pop up หน่อยนะครับ
เซียน pop up ช่วยบอกหน่อยเถอะครับว่า
1. cc. ของตุวนี้เท่าไร ใช่ 1839 รึปล่าวครับ
2. กำลังอัดในแต่ละสูบ
3. camshaft ทั้ง in , ex กี่องศา
4. มีรูปลูกสูบด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง

หรือจะช่วยชี้แนะ web ที่มีข้อมูลก็ได้ครับ
ขอบคุณครับ
โดย: midso   วันที่: 17 Nov 2007 - 21:46


 ความคิดเห็นที่: 1 / 3 : 302970
โดย: hard ศรีราชา
อาจจะได้ข้อมูลไม่ครบอ่ะครับ..
วันที่: 19 Nov 07 - 08:30

 ความคิดเห็นที่: 2 / 3 : 303132
โดย: midso
ขอบคุณครับ อย่างน้อยก็ได้ cc. กะกำลังอัด มาแล้ว
วันที่: 19 Nov 07 - 18:10

 ความคิดเห็นที่: 3 / 3 : 304199
โดย: ด๋อย
ม่ายรู้จะใช้ได้รึเปล่า หุหุ

Mazda 323 Astina
แรง หนึบ เบรกดี ลงตัวสำหรับคนเท้าหนัก
มาสด้า 323 เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่มีประวัติการทำตลาดในไทยต่อเนื่องมากว่า 20 ปี แต่เพิ่งมาใช้ชื่อ 323 ในตัวถังแฮตช์แบก 5 ประตู ทรงมน ขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นสุดท้าย

เมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าในรุ่นแรก ตัวถังทรงเหลี่ยม ก็ขยายตลาดเป็น 3 ตัวถัง คือ ซีดาน 4 ประตู และแฮตช์แบก 3 และ 5 ประตู ในชื่อเรียก 323 คัลเลอร์คีย์ ซึ่งคนไทยคุ้นตากับรุ่น 5 ประตูมากที่สุด ต่อเนื่องมาเป็นขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นที่ 2 ทำตลาดด้วยรุ่น 4 และ 5 ประตู ไม่มี 3 ประตูแล้ว

ในปี 1990 ก็ถึงเวลาของรุ่นที่ 3 ของ 323 ขับเคลื่อนล้อหน้า ทำตลาดด้วยรุ่น 4 ประตู ด้วยชื่อรุ่น 323 ตามปกติ ส่วนรุ่น 5 ประตู แฮตช์แบก ทำตลาดด้วยชื่อ 323 แอสตินา

แอสตินา นี้เองที่เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ 323 เพราะเป็น 5 ประตูแบบท้ายลาดมากกว่ารุ่นที่ผ่านๆ มาที่ตั้งเกือบตรง และแปลกกับการเรียกชื่อรุ่น ที่แอสตินาเป็นสายพันธุ์ของ 323 แต่คนทั่วไปไม่ค่อยเรียกว่า 323 โดยเรียกแค่ 'แอสติน่า' เท่านั้น เพราะผู้จำหน่ายไม่ค่อยประชาสัมพันธ์รหัส 323 แต่ไปเน้นชื่อเรียกต่อท้ายมากกว่า

แม้ตอนนั้นกระแสความนิยมของรถยนต์ทรงท้ายลาดหรือท้ายตัดจะซาลงไปแล้ว แต่แอสตินาก็ยังได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยโฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะไฟหน้าแบบป๊อป-อัพ เลียนแบบจากสไตล์รถสปอร์ตในยุคนั้น และเป็นที่มาของชื่อเรียกกันทั่วไปว่า 'แอสตินา ไฟป๊อป'

รูปลักษณ์ด้านหน้าทรงลิ่มเพรียวลาดต่ำ เพราะใช้ไฟแบบป๊อป-อัพ ปิดเรียบเมื่อไม่ได้เปิดไฟ แต่เมื่อเปิดไฟตอนกลางคืน ไฟอ้าขึ้นมาแล้วอาจดูขัดตาไปบ้าง กันชนหน้าครึ่งบนเป็นสีเดียวกับตัวรถ มีไฟหรี่และไฟเลี้ยวอยู่ด้านบน ด้านล่างเป็นสีดำเว้นช่องดักลม

ตัวถังด้านข้างคาดคิ้วยางกันกระแทกสีดำยาวตลอดแนว บริเวณหลังล้อหน้าติดตั้งไฟเลี้ยวสีเหลืองไว้บนคิ้ว ล้อแม็กลาย 7 ก้านพร้อมฝาครอบตรงกลางขนาด 14 นิ้ว ประกบกับยางแก้มเตี้ย 185/60 R14

ด้านท้ายทรงลาด ประตูบานที่ 5 เปิดได้ลึกจรดแนวกันชน โดยยกพร้อมกระจกหลังขึ้นไปทั้งบาน เปิดทะลุไปยังห้องโดยสารได้ กันชนหลังเว้นช่องติดแผ่นป้ายทะเบียน ติดตั้งสปอยเลอร์ทรงเรียวอ้อมมาจากเสาหลังทรงเอน ฝังไฟเบรกดวงที่ 3 กระจกหลังติดตั้งลวดไล่ฝ้าและที่ปัดน้ำฝน พร้อมที่ฉีดน้ำติดตั้งบนหลังคา ชุดไฟท้ายแบบชิ้นเดียว แทรกกลางด้วยแผงทับทิม


มิติตัวถังยาว 4,260 มิลลิเมตร กว้าง 1,675 มิลลิเมตร สูง 1,335 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,500 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,100 กิโลกรัม

ภายในเน้นความสปอร์ตด้วยเบาะนั่งทรงกระชับ พร้อมหมอนรองศีรษะทรงสวย พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน เบาะหลังเบาะพับได้แบบ 60 : 40 มีหมอนรองศีรษะและที่ท้าวแขนตรงกลางแบบพับเก็บได้ ไม่มีถุงลมนิรภัย

เครื่องยนต์ใช้บล็อก B เหมือน 323 ซีดาน แต่เป็นรหัส BP อันหมายถึงเป็นบล็อก 1,800 ซีซี ตลอดการทำตลาดเป็นบล็อกเดียวล้วนๆ เป็นแบบเบนซิน 4 สูบเรียง ทวินแคม 16 วาล์ว พร้อมระบบแปรผันความยาวท่อร่วมไอดี VICS (VARIABLE INERTIA CHARGING SYSTEM) จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ความกว้างกระบอกสูบ 83 มิลลิเมตร ช่วงชัก 85 มิลลิเมตร ความจุ 1,840 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.8 : 1 กำลังสูงสุดแรงสะใจ 103 กิโลวัตต์ หรือ 140 แรงม้า (PS DIN) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.6 กก.-ม. ที่ 4,700 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ระบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต ปีกนก ด้านหลังปีกนกคู่สัมพันธ์ TTL (TWIN TRAPEZOIDAL LINK) อันเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน น้ำหนักตัวรถยนต์เปล่าประมาณ 1,100 กิโลกรัม

ตัวถังแบบแฮตช์แบก 5 ประตู แม้ไม่ค่อยตรงใจคนไทยส่วนใหญ่ ที่ยึดติดกับทรงซีดาน 4 ประตู แต่ด้วยการออกแบบที่เน้นความสปอร์ตตลอดคัน รวมทั้งเครื่องยนต์พลังแรง ช่วงล่างและเบรกที่หนึบไว้ใจได้มาก รวมแล้วเป็นรถยนต์ที่มีจุดเด่นด้านสมรรถนะกว่าซีดานยี่ห้ออื่นระดับราคาเดียวกัน จึงทำให้แอสตินารุ่นนี้ประสบความสำเร็จในไทยพอสมควร

หลังจากทำตลาดได้ประมาณ 3 ปี ก็เพิ่มรุ่นเอบีเอสแบบ 4 เซ็นเซอร์ 3 แชนแนล จากนั้นในปี 1995 ก็เปลี่ยนโฉม โมเดลเชนจ์ และดูเหมือนจะเปลี่ยนแนวทางตลาดไปด้วย ไม่เน้นความแรงจัดจ้านเหมือนเดิมแล้ว รวมอายุตลาดรุ่นไฟป๊อป-อัพประมาณ 5 ปี โดยไม่มีการปรับโฉม-ไมเนอร์เชนจ์รูปลักษณ์เลย

แม้เป็นรถยนต์ทรงแปลก ไม่ใช่ซีดาน แต่ถ้าจะซื้อก็ไม่ต้องกลัวว่าเวลาขายต่ออีกครั้งราคาจะตก เพราะตกในครั้งแรกจนอยู่ตัวแล้ว และที่สำคัญ คือ รถยนต์รุ่นนี้มีจุดเด่นหลายอย่าง เช่น รูปลักษณ์ภายนอกโฉบเฉี่ยว ยังดูไม่เชยแม้มีอายุมากกว่า 10 ปีแล้ว ภายในมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ

เครื่องยนต์แรงล้ำหน้าคู่แข่งในระดับเดียวกัน 140 แรงม้าแบบเดิมๆ ตีนปลายแตะ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างและเบรกหนึบแน่นตามสไตล์มาสด้า ยิ่งถ้าเป็นรุ่นหลังๆ ที่มีเอบีเอส ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้น

จุดด้อยของรถยนต์รุ่นนี้ คือ ระบบส่งกำลังที่มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ถ้าใครจะซื้อมาใช้ในเมืองคงต้องทำใจ เพราะถ้าจะเปลี่ยนเป็นเกียร์อัตโนมัติ ก็ต้องเสียเงินเพิ่มอีกหลายหมื่นบาท

พื้นที่ห้องโดยสาร ด้านหน้านั่งไม่อึดอัด แต่ด้านหลังค่อนข้างแคบ ผู้ใหญ่ 3 คนนั่งได้แบบหัวไหล่แตะกัน หรือถ้าคนตัวสูงสักหน่อยศีรษะก็ติดกระจกที่เอนลาดบีบลงมา ถ้าส่วนใหญ่ขับคนเดียวหรือผู้โดยสารด้านหลังเป็นเด็ก ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก

จุดด้อยอีกอย่างของรถยนต์รุ่นนี้ และอาจถือว่าของมาสด้าทุกรุ่น คือ ราคาและความแพร่หลายของอะไหล่ แม้ไม่ได้มีน้อยถึงกับต้องควานหา แต่ก็ไม่ได้มีให้เลือกมากแบบรถยนต์รุ่นที่ชินตาหรือแท็กซี่นิยม

นอกจากอะไหล่แท้ของใหม่ในศูนย์บริการ ที่ส่วนใหญ่มีราคาแพงแล้ว 2 ทางเลือกที่ช่วยประหยัดได้ คือ อะไหล่เทียบของใหม่จากวรจักรซึ่งมีอยู่หลายร้าน และอะไหล่มือสองเชียงกง ที่เริ่มกระจายออกไปตามชานเมืองมากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องฝ่ารถติดเข้ามาซื้อที่ปทุมวันเท่านั้น แต่ก็หาไม่ได้ง่ายๆ อยู่ดี

เนื่องจากแอสตินารุ่นนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูง ผู้ที่ซื้อไปส่วนใหญ่คงเท้าขวาหนัก หรือบางคนอาจนำไปโมดิฟายเพิ่ม เวลาซื้อจึงควรเลือกที่ตัวถังไม่ช้ำจากการชนหนัก เครื่องยนต์และช่วงล่างไม่โทรม นอกนั้นก็ตรวจสอบตามปกติ ถ้ามีงบประมาณพอแนะนำให้เลือกปีท้ายๆ ที่มีเอบีเอส

มาสด้า แอสตินา แฮตช์แบก 5 ประตูทรงสวยโฉบเฉี่ยว เด่นที่เครื่องยนต์แรงระดับแถวหน้า ช่วงล่างและเบรกมั่นใจได้ แรงและขับสนุกโดยไม่ต้องแต่งเพิ่ม แต่หาคันที่มีสภาพดีได้ยาก ห้องโดยสารแคบนิด อะไหล่หาไม่ง่าย และค่าซ่อมค่อนข้างแพง
วันที่: 22 Nov 07 - 21:27