ว่ากันด้วยเรื่องของขนาด มายาวแล้ว สุดท้าย พอเราได้ขนาดที่ต้องแล้ว
สิ่งสำคัญต่อมา ก็คงเป็นเรื่องของ ยี่ห้อ แน่ ๆ
ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น ก็จะมีส่วนผสมแตกต่างกันแน่ ๆ ถ้าใส่สารมหัสจรรย์ลงไปเยอะ ยางก็จะคุณสมบัติ (ตามกล่าวอ้าง) เพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้มันแพงขึ้น
แต่ทั้งนี้...ไม่ขอกล่าวในรายละเอียดครับ เพราะว่า สรรพคุณกล่าวอ้างนั้น ก็ยกให้เป็นเรื่องของความเชื่อและความชอบแต่ละคนก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็น ใส่สาร X ลงไปแล้วยางจะเงียบ (บางคนก็ยังว่าดัง) ใส่สาร Y ลงไป เพิ่มการยึดเกาะ เบรตจึก ๆ ใส่สาร Z ลงไป ทำให้ประหยัดน้ำมัน ฯลฯ... ก็ตามแต่แต่ละคนก็แล้วกันครับ
แต่ที่จะพูดต่อคือ ดอกยางครับ เพราะส่วนตัวผมให้ความสำคัญกะเรื่องนี้มากกว่าส่วนสผม ถ้าหากเราสมมติให้ ยาง แต่ละรุ่น ส่วนผสมเหมือนกัน ถือว่าได้มาตรฐานแล้ว ไอ้สิ่งที่จะทำให้มันต่างกันได้คือ จนคนขับขี่รู้สึกได้คือ ดอกยางครับ
สิ่งที่ต้องดูเกี่ยวกับดอกยางเลย ไม่ใช่ว่า ลายสวย หรือไม่สวย เพราะเรื่องความสวย เป็นผลพลอยได้ครับ
หน้าที่สำคัญของดอกยางคือ การรีดน้ำ...ครับดอกยาง มีไว้รีดน้ำเท่านั้น ซึ่งก็ต้องเข้าใจกฎเหล็กก่อนว่า
ยางที่เกาะถนนดีที่สุดคือ หน้ายางตัน ๆ ไม่มีดอกยาง ถ้านึกไม่ออกนึกถึงรถ F1 ก็ได้ครับ
แม้ยางไม่มีดอกเกาะถนนดีที่สุด แต่ก็มีข้อมีข้อเสียคือ เสียงมันจะดัง และที่แย่กว่า ไม่มีรีดน้ำ หากถนนขรุขระ มีเศษหิน หรือ มีน้ำขัง.... รถจะกลายเป็นเครื่องบินได้ในทันที
ดังนั้นผู้ผลิตจังต้องคิดค้น ลายต่าง ๆ ของดอกขึ้นมาไงครับ
ลายของดอกยาง หากลายยิ่งละเอียด มีช่องว่างเยอะ....อนุมานได้เลยว่า ยางรุ่นนี้ จะวิ่งเงียบ การีดน้ำทำได้ดี เพราะมีช่องให้น้ำไหลผ่านเยอะ แต่... เนื่องจาก ช่องว่างเยอะ และดอกยางละเอียด ขนาดของดอกยางแต่ละดอก ก็จะเล็กตาม ทำให้ การเกาะถนน ไม่ได้นั้นเอง (กลับไปนึกถึงเยลลี่ปีโบ้ต่อนะครับ ตานี้ลอง บีมาเยอะ ๆ เรียบกันไว้บนจาน แล้วหาจานอีกใบ ปิดทับข้างบน แล้วลองเขย่าเบา ๆ ดูครับ)
ถ้าลายดอกยาง เป็นดอกใหญ่ ๆ ก็คิดนำได้เลยว่า ต้องเป็นรุ่นที่เกาะถนนกว่าแน่ ๆ แต่เนื่องจากดอกมันใหญ่ ทำให้ความถี่ของดอกยางต่อพื้นที่มีน้อยลง การีดน้ำ ย่อมแย่กว่าแน่ ๆ และทีสำคัญ เสียงต้องดังกว่าแน่นอน
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการรีดน้ำ ผู้ผลิตต่าง ๆ เลยเพิ่ม ร่องรีดน้ำพิเศษไว้ในยางของตัวเองด้วย ถ้าสังเหตุดี ๆ โดยหันหน้าเข้าไปมองหน้ายางตรง ๆ จะเห็นร่องยาง ๆ ขนานกับตามยางกับยาง บางรุ่นก้มี 2 ร่อง บางรุ่น 4 ร่อง บางรุ่น มีทั้งเล็กทั้งใหย่ บางรุ่น ก็ร่องละเท่าๆ กัน นั้น..คือร่องรีดน้ำมันเองครับ
แต่ใช่ว่า ไอ้ร่องนี้มีมากแล้วมันจะดี เพราะต่อให้มีมาก ๆ แต่ถ้าไม่สามารถรีดน้ำ ให้ออกไปจากหน้ายางได้ ก็ไร้ประโยชน์ จึงยังจำเป็นต้องมี ร่องระหว่างดอกยาง เพื่อช่วยให้การรีดน้ำไปด้านข้างของยางอยู่นั้นเอง
เวลาเลือกดอกยาง ก็ให้เลือกจาก ลายที่ชอบก่อนแล้วลองคิดว่า ตัวเองเป็นพื้นน้ำดู ถ้าหากต้องเข้าไปเล่นเขาวงกตในยางนี้แล้ว เราจะมีทางออกได้อย่างรวดเร็วรึเปล่า ถ้าออกได้เร็วก็แปลว่ยางเส้นนี้รีดน้ำดีเยี่ยม ออกยาก ๆ ก็แปลว่า ยางเส้นนั้นคงไม่ค่อยเหมาะกับการลุยน้ำ (แต่อาจจะวิ่งทางเรียบได้แจ่มก็ได้)
อีกเรื่องที่ลืมพูดไปคือ เรื่องของ ทิศการหมุนของยางครับ
ยางบางรุ่น มีการกำกับทิศการหมุนเอาไว้ด้วย ทั้งนี้เพราะว่า ดอกยางของเค้า ได้ออกแบบให้มีการรีดน้ำได้ดีกว่า ถ้าหมุนไปตามทิศที่กำหนด (นึกถึงระหัสวิดน้ำดูครับ) แต่ถ้าใส่ผิดแล้วกลับด้านกัน ถ้าพื้นแห้ง ๆ ก็คงไม่ได้เป็นอันตรายหรอก แต่ถ้าเปียกขึ้นมา ยางก็คุณ แทนที่จะวิดน้ำออก ก็หลายเป็นว่า ยางมันจะยาม ด้านร้ำที่ขังเอาไว้ กับดอกมันซะเอง อันตรายแน่ ๆ ครับ
จบเรื่องยืด ๆ ยาวของยาง กันซะที
มีผิด มีตก มีมั่วตรงไหน ก็บอกกันได้นะครับ
เพราะเรื่องที่เขียน ประมวลมาจากสมองของผมเอง มิได้อ้างอิงจากแหล่งข่าวอื่นใด ยกเว้น tire calc ก็ไปลองใช้งานกันได้ที่นี่
http://www.miata.net/garage/tirecalc.html