อิอิ จามาเป็นแฟนมาสด้าหรอ
ขอฝากข่าวไว้ในกระทู้ด้วยครับ เว็บเขาชอบลบทิ้งหาไม่ค่ยเจอ
อ้างอิงจาก
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=4757626778482&Page=1
ซูม ซูม กับ "มาสด้า"ที่ฮิโรชิมา
10 เมษายน 2547 15:18 น.
เวลาที่เราซื้อรถนั้นหลายๆคนมักจะนึกถึงสมรรถนะ รูปลักษณ์ภายนอกมาก่อน แต่ใครเลยจะรู้ว่ากว่าจะผลิตออกมาคันหนึ่งนั้นมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิต ดังนั้นผู้ผลิตรถจึงต่างคันคว้าหาสุดยอดเทคโนโลยีในการผลิตรถให้ออกมามีคุณภาพมากที่สุดและตรงตามความต้องการของลูกค้าทั่วโลก
มาสด้า ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นเมืองแห่งความทรงจำของชาวญี่ปุ่น จากการเป็นเป้าหมายการโจมตีของระเบิดปรมาณูในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในวันนี้กลับกลายเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพอีกแห่งหนึ่งของโลก ทั้งในด้านเทคโนโลยีและการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โดยครั้งนี้ก็นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง ได้มีโอกาสไปเยือนถิ่นเกิดของ มาสด้า ที่ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็ได้เชิญสื่อมวลชนชาวไทย บินข้ามน้ำไปสัมผัสกับอาณาจักรของมาสด้า ที่มีโรงงานใหญ่ๆถึง 2 แห่งด้วยกัน คือที่ฮิโรชิมา และโฮฟู ชิตี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมานั้นโรงงานทั้งสองแห่งสามารถผลิตรถรุ่นต่างๆออกสู่ตลาดได้ถึง 1,850,000 คัน และส่งออกถึง 80 % นอกจากนี้มาสด้าก็ยังมีโรงงานอีก 15 แห่งทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยนั่นก็คือโรงงาน AAT (Auto Alliance Thailand)ซึ่งผลิตรถมาสด้ารุ่นไฟต์เตอร์ ฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ดเอเวอรเรสต์
มาสด้า มอเตอร์ คอปเปอร์เรชั่น ก่อตั้งโดย มร. จูจิโร่ มัตซึดะ ผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น โดยเริ่มจากการเป็นผู้ผลิตฝาจุกไม้คอร์กในปี พ.ศ. 2463 และได้เริ่มผลิตเครื่องมือกลในปี พ.ศ. 2472 และด้วยความที่เป็นผู้หลงใหลในเทคโนโลยีของมอเตอร์ไซด์ทำให้ต่อมามาสด้าเริ่มผลิตรถมอเตอร์ไซด์ออกสู่ตลาด และในปี พ.ศ. 2474 ก็ได้เริ่มผลิตรถบรรทุก 3 ล้อ ที่เรียกว่า มาด้า โกะ ซึ่งถือว่าเป็นรถคันแรกที่ผลิตออกมา
สำหรับโรงงานที่ฮิโรชิมานี้เป็นโรงงานที่มีการผลิตเครื่องยนต์ที่มีความหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบนซิน เครื่องดีเซล และเครื่องโรตารี่ โดยเฉพาะเครื่องยนต์โรตารี่(ลูกสูบสามเหลี่ยมหมุน) นี้เป็นเครื่องยนต์ที่มาสด้าคิดค้นขึ้นมาเพื่อนำมาเป็นหัวใจของมาสด้า RX-8 โดยมีกำลังผลิต ปีที่ผ่านมาถึง 788,000 คัน คือประมาณ 1,000 คัน/วัน โดยมีการทำงานแบ่งเป็น 2 กะ กะละ 500 คน และใช้เวลาในการผลิต 14 ชม./ 1 คัน
ซึ่งในการเยื่ยมชมครั้งนี้ ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง ก็ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง MDI (Mazda Digital Innovation)เป็นคณะแรกของเอเซีย ซึ่งระบบนี้เป็นการป้อนข้อมูลระบบการทำงานในขั้นตอนต่างๆลงจาก 18 เดือน เหลือเพียง 14 เดือน และ 12 เดือนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การขึ้นรูป การประกอบต่างๆไปที่ตัวหุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยระบบ MDI เพื่อป้องกันการผิดพลาดในการประกอบรถยนต์ และยังช่วยลดขั้นตอนต่างๆลงไปจาก 200 ขั้นตอน เหลือเพียง 119 ขั้นตอน โดยการทำเป็น CAD/CAM ซึ่งเป็นการสร้างภาพแบบ 3 มิติเหมือนจริงก่อนส่งเข้าไลน์การผลิต ซึ่งขณะนี้ได้ใช้กับการผลิตมาสด้ารุ่น RX-8 , มาสด้า 6 และ มาสด้า 2 โดยลงทุนทั้งหมดในระบบ MDI ประมาณ 41.0 ล้านเยน และขณะนี้ก็กำลังพัฒนาในขั้นที่ 3 อยู่
อย่างไรก็ตาม จากการที่มาสด้าพยายามทวีบทบาทของตัวเองในตลาดรถยนต์โลก ทำให้จำเป็นต้องขยายฐานการผลิตเพื่อตอบรับกับความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งนั่นเป็นที่มาของการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่โฮฟู ซิตี้ โรงงานโฮฟู นี้มีกำลังการผลิต 394,000 คัน มีหุ่นยนต์ทำงานทั้งหมด 894 ตัว และแบ่งสายการผลิตเป็น 2 ส่วนคือ โรงงานนิชิโนอุระ ซึ่งเป็นโรงงานขึ้นรูป พ่นสี และประกอบตัวรถ ปัจจุบันนี้ก็ได้ประกอบรถยนต์หลายรุ่นด้วยกัน คือ มาสด้า อาเทนซา (หรือมาสด้า 6) ,มาสด้า แวกอน , 323/323เอฟ รวมถึงโปรทีเจ ซีดาน , โปรทีเจ 5 ประตู , มาสด้า พรีมาซี่ และ มาสด้า 3 ที่กำลังจะเปิดตัวในประเทศไทยปลายปีนี้ด้วย
ส่วนโรงงานอีกแห่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตนากาโนเซกิ แม้ว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 1981 หรือก่อนหน้าโรงงานโฮฟูแห่งแรกถึง 9 เดือนนั้น แต่ก็เป็นสายการผลิตเฉพาะระบบส่งกำลัง ไม่มีการผลิตรถยนต์ โดยมีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต และส่งไปให้โรงงานฮูฟู และสำหรับรถรุ่นที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่นก็คือ มาสด้า 3
ความสำคัญของโรงงานของโฮฟูทั้ง 2 แห่ง นอกจากจะเป็นเส้นเลือดหลักในการช่วยผลิตรถยนต์สำหรับป้อนตลาดในประเทศและตลาดโลกแทนที่โรงงานในเมืองฮิโรชิมาแล้ว ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตที่มีความทันสมัย และมีการทำงานอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิด CS & ES CS หมายถึง CUSTOMER SATISFACTION หรือความพึงพอใจของลูกค้าที่จะได้สัมผัสกับความยอดเยี่ยมจากรถยนต์ของมาสด้าผ่านทางระบบการผลิตที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพ
ในส่วนของร่วมถือหุ้นกันระหว่างมาสด้าและฟอร์ด มอเตอร์นั้น มร.โนบุฮิโรกล่าวว่าไม่อยากให้มาเปรียบเทียบกันในด้านกำไรหรือผลประโยชน์ แต่ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันพัฒนาในด้าน R&D มากกว่า และด้วยกระแสของรถยนต์ราคาประหยัดหรือ อีโคคาร์ ที่จะเกิดขึ้นในไทยนั้น มาสด้าก็ให้ความสนใจไม่น้อยซึ่งขณะนี้มาสด้าเองก็ผลิตรถพลังงานไฮโดรเจน โรตารี่ อยู่แล้ว แต่อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างในเรื่องของการมีสถานีน้ำมันไม่เพียงพอ ราคาที่ค่อนข้างแพง และความปลอดภัยเพราะไฮโดรเจนระเบิดง่าย ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการวิจัยและคาดว่าน่าจะผลิตออกสู่ตลาดได้ในปี 2010
ถึงแม้ว่ามาสด้ายังไม่ใช้แบรนด์ยอดนิยมอันดับต้นๆก็ตามที แต่หลังจากที่ได้มาสัมผัสกับการผลิตที่มีความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนของมาสด้าเป็นเวลา 2 วันเต็มแล้ว เชื่อได้ว่าผู้ที่ซื้อรถมาสด้านั้นไม่ผิดหวังแน่นอน
ภาพโรงงานโฮฟุ ที่อยู่ติดริมทะเลและเป็นโรงงานแห่งที่สองของมาสด้า