User Name :
  Password :

จำนวนสมาชิก 17,837 คน
จำนวนรถ 4,779 คัน

ออนไลน์ 0 คน

รายนามขาเม๊าท์ (0)
  - ไม่มีคนเม๊าท์

Currency Convert



Article

Article Menu
Lantis



Mazda Lantis คือ Version Sedan ของ 323 Sedan รุ่นปี 93 -98 โดยคงไว้ซึ่งโครงสร้างหลักๆที่เหมือนกัน แต่ได้มีการขยายห้องเครื่อง ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้ขุมพลัง KF-ZE V6 2000 CC. ลงไปประจำการได้ โดยในประเทศญี่ปุ่น จะใช้ชื่อว่า Mazda Lantis เท่านั้น ไม่มี 323F หรือ Astina เหมือนในตลาดประเทศอื่นๆแต่อย่างใด Lantis ทั้งสองแบบเปิดตัวครั้งแรกประมาณปี 1993 และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยปี 1994 ซึ่งเป็นรถนำเข้าทั้งคัน

ส่วน Lantis Coupe หรือ Astina ตาตี่ที่บ้านเรานั้นเริ่มการประกอบขายครั้งแรกในปี 1995 โดยจะตรงข้ามกับตัว 4 ประตูคือ ประกอบในทั้งคัน ในประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นตัวธรรมดา จนถึงตัวท็อบ นั้นสามารถเลือกได้ว่าจะเอาตัวถังไหน เพราะถือว่าเป็นรุ่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นรุ่น 4 ประตู หรือ 5 ประตู แต่เมื่อมาทำตลาดในเมืองไทย ผู้จำหน่ายสมัยนั้นกลับมาทำตลาดวางตำแหน่งสินค้าให้ Lantis (4 ประตู) อยู่เหนือกว่า Astina (5 ประตู) ก็ไม่รู้ว่าทำไม

จะพูดถึงตัว Lantis ที่บ้านเราคุ้นเคยกันเมื่อครั้งที่เปิดตัวครั้งแรกคือปี1994 -1995 นั้น ได้นำเข้ามาจำหน่ายสองรุ่นคือเครื่องยนต์ KF-ZE V6 24 vales 2000 CC 147 แรงม้า และ เครื่องยนต์ BP-ZE 4 สูบ 1800 CC. 125 แรงม้า ต่อเมื่อมามีรุ่นปรับโฉมในปี 1996 - 1998 ได้ยกเลิกการนำเข้ารุ่น V6 2000 CC. คงเหลือไว้แต่รุ่น 1800 CC. ก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกเหมือนกัน

ขุมพลังเครื่องยนต์ KF-ZE ให้พละกำลังที่ดีพอสมควร เมื่อคำนึงถึงอายุของเครื่องยนต์ ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1993 เป็นรถที่อัตราเร่งต้นไม่จัดนักโดยเฉพาะเกียร์ออโต้ อืดไปนิด กำลังของรถจะเริ่มมาเมื่อรอบเครื่องยนต์ไต่ขึ้นไปที่ 3000 รอบต่อนาที เป็นรถที่ขับทางไกลได้ดี ขึ้นง่ายๆถึง 160 ก.ม/ช.ม. โดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถจะอืดจนเร่งแซงไม่ได้ ถ้าต้องการการเร่งแซงที่รวดเร็ว ฉับไว Hold Mode คือคำตอบ คุณสามารถใช้ปุ่มนี้เพื่อลดเกียร์ลงเพิ่มรอบเครื่องยนต์เรียกแรงบิด เพิ่มพละกำลังให้กับรถของคุณได้อย่างทันใจ (ดูข้อมูลเรื่องเกียร์ออโต้เพิ่มเติมได้ โดยใช้ search หัวข้อเกียร์ออโต้อัจฉริยะ ของมาสด้า)

อัตราการกินน้ำมันเกียร์ออโต้ (เครื่องKF-ZE) ประมาณ 6-7 กิโลเมตร/ลิตร ต่างจังหวัด 9-10 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งนี้น้ำหนักที่เท้าคุณเป็นตัวแปรสำคัญต่ออัตราการบริโภคน้ำมัน ภายในห้องโดยสารไม่เหมาะสำหรับคนตัวใหญ่ๆโดยสิ้นเชิง เนื่องจากหลังคาลาดลงทำให้อึดอัด เบาะนั่งด้านหลังเป็นหลุมลงไปทำให้นั่งทางไกลไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ จะบอกว่าทั้งคันมีนั่งสบายอยู่ที่เดียวคือที่คนขับก็ว่าได้ ฉะนั้นจึงไม่เหมาะเท่าไหร่หากคิดจะซื้อไปเป็นรถครอบครัว

ข้อเสียของรถรุ่นนี้ (เครื่อง KF) คือราคาของอะไหล่ เพราะเนื่องจากมีจำนวนนำเข้าที่น้อยคัน ราคาอะไหล่ค่อนข้างสูง และราคาค่าแรงในการซ่อมก็ค่อนข้างแพง เนื่องจากห้องเครื่องที่แน่นไปหมด จะรื้ออะไรทีต้องถอดอะไรต่อมิอะไรที่ขวางอยู่ให้พ้นทาง ใช้เวลาในการทำงานนานกว่าชาวบ้านเค้า และจุดอ่อนของเครื่องรุ่นนี้คือจานจ่าย ที่มักจะหมดอายุเมื่อวิ่งได้ประมาณ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งราคาก็ไม่ถูกเลยจานจ่ายเนี่ย ของใหม่เบิกศูนย์ ต้องมี 40,000 บาท (ถ้ามาสด้าเค้ายังไม่ปรับราคาลงนะ) แต่ของมือสองก็หาได้ไม่ยากนัก

ข้อดีคือเป็นรถที่ขับสนุก ให้แรงที่ดี ปราดเปรียว กะทัดรัด รูปร่างหน้าตา ยังดูทันสมัย วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ดูดี มีอะไหล่มือสองให้ขุดคุ้ยมาใช้พอสมควร ไม่จุกจิกถ้าดูแลรักษา เปลี่ยนถ่าย ซ่อมบำรุงตามระยะ

ส่วนเครื่องยนต์ BP-ZE 1800 CC. จะมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ถูกกว่า เนื่องจากอะไหล่เครื่องยนต์ และช่วงล่างใช้ร่วมกับ Astina ตาตี่ได้ ราคามือสองน่าจะหาได้ตั้งแต่ 350,000 - 420,000 ขึ้นอยู่กับสภาพของรถ

===========================

รวบรวมและสรุปโดย ตาม, เอื้อย

LANTIS

มาสด้า แลนติส ทำตลาดในเมืองไทยระหว่างปี 1994-1998 ในแบบนำเข้าล้วนๆ แบ่งเป็น 2 รุ่น หลัก คือเบนซิน 4 สูบเรียง 1,800 ซีซี และ วี 6 สูบ 2,000 ซีซี โดยตลอดอายุตลาด ไม่มีการปรับ โฉม-ไมเนอร์เชนจ์เลย

มาสด้าเป็นรถยนต์อีกยี่ห้อหนึ่ง ที่คนไทยมักไม่เรียกรุ่นด้วยรหัสตัวถัง แต่นิยมเรียกชื่อที่มาจากโรง งาน หรือชื่อที่ตั้งขึ้นจากลักษณะเฉพาะรุ่น เช่น 'แอสตินา ไฟป๊อปอัพ' หรือที่นำเสนอใน ครั้งนี้ คือ 'แลนติส' ที่มีตัวถังเดียวและเจนเนอเรชั่นเดียวในเมืองไทย เวลาจะพูดถึงรถยนต์รุ่นนี้เพื่อซื้อขาย หรือซื้ออะไหล่ ก็บอกว่าเป็นแลนติสรุ่น 1.8 หรือ 2.0 เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ คนส่วนใหญ่ก็ จะเข้าใจได้ตรงกัน ไม่คลาดเคลื่อน

แลนติสเป็นรถยนต์ที่ไม่มีกรอบกระจกประตู รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบสไตล์สปอร์ตซีดาน ที่เน้น ความโค้งมนตลอดคัน รุ่นวี6 มีสปอตไลต์ทรงกลมฝังอยู่ในกันชน ส่วนรุ่น 1.8 เป็นพลาสติกทึบปิดไว้

รุ่น 1.8 ให้ล้อกระทะเหล็กอัดขึ้นรูปขนาด 5.5 x 14 นิ้ว พร้อมฝาพลาสติกครอบล้อแบบเต็ม ยาง ขนาด 185/65R14 ส่วนรุ่นวี6 ให้ล้อแม็กลาย 5 ก้าน ขนาดใหญ่พอตัว 6.5 x 16 นิ้ว ยางขนาด 205/50R16

ไฟท้ายทรงแปลก ติดตั้งอยู่ที่มุมตัวถังด้านบน แบ่งเป็นไฟเลี้ยว ไฟท้าย และไฟถอยหลัง รวมอยู่ใน โคมเดียวกัน ฝากระโปรงหลังเปิดได้จรดแนวกันชน ตรงกลางเป็นหลุมใส่ป้ายทะเบียน รุ่นวี6 ให้ ปลายท่อไอเสียแบบคู่

มิติตัวถังมีความยาว 4,490 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,355 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,605 มิลลิเมตร น้ำหนักรุ่น 1.8 ประมาณ 1,170 กิโลกรัม ส่วนรุ่นวี6 หนักประมาณ 1,200 กิโลกรัม

รุ่น 1.8 ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับที่วางในแอสตินา โฉมต่อจากไฟป๊อป-อัพ เป็นรหัส BP1800 แบบเบนซิน 4 สูบเรียง วางตามขวาง ความกว้างกระบอกสูบ 83 มิลลิเมตร ช่วงชัก 85 มิลลิเมตร ความจุ 1,840 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.0 : 1 กำลังสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูง สุด 16.3 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย คือ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ

รุ่นสูงสุดเป็นแบบวี6 2.0 ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับที่วางในโครโนส วี6 เป็นรหัส KF-ZE ทวิน แคม 24 วาล์ว ความกว้างกระบอกสูบ 78 มิลลิเมตร ช่วงชัก 69.6 มิลลิเมตร ความจุ 1,995 ซีซี อัตราส่วนการอัด 10.0 : 1 กำลังสูงสุด 147 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.7 กก.-ม. ที่ 5,000 รอบ/นาที แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย คือ เกียร์ธรรมดา, เกียร์อัตโนมัติ และเกียร์อัตโนมัติพร้อมถุง ลมนิรภัยคู่หน้า

ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ระบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้า แม็กเฟอร์สันสตรัต เอ-อาร์ม พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังปีกนกคู่สัมพันธ์ TTL (TWIN TRAPEZOIDAL LINK) ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน รุ่นวี6 มีเอบี เอสป้องกันล้อล็อกมาให้ ภายในมีอุปกรณ์มาตรฐานที่จำเป็นมาให้ครบ ทุกรุ่นให้พวงมาลัยทรงสปอร์ต 3 ก้าน ยกเว้นรุ่น วี6 รุ่นสูงสุด แอร์แบ็กคู่ เป็นพวงมาลัย 4 ก้าน และเพิ่มรีโมตคอนโทรลสำหรับล็อกประตู

รถยนต์รุ่นนี้มีจุดเด่นที่ราคามือสองถูกกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันอยู่พอสมควร ซึ่งเป็นเพราะค่า นิยมของตลาด ไม่ใช่คุณภาพของตัวรถยนต์ด้อยกว่าแต่อย่างไร อุปกรณ์ต่างๆ ก็มีให้ครบ ประสิทธิภาพของช่วงล่าง โดยเฉพาะด้านการทรงตัวและระบบเบรกก็เด่นกว่าคู่แข่งอยู่เล็กน้อย เป็นปกติของมาสด้าที่เด่นด้านนี้มาเกือบทุกรุ่น

จากรูปลักษณ์ภายนอกที่เน้นความปราดเปรียว ส่งผลให้ห้องโดยสารมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะที่นั่งด้านหลัง ถ้าผู้โดยสารตัวสูงสักนิด ศีรษะอาจติดเพดานได้ แต่ถ้าส่วนใหญ่ขับคน เดียว หรือมีผู้โดยสารเฉพาะด้านหน้าบ่อยกว่า ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก

อะไหล่มีหลายทางเลือก เช่น อะไหล่ใหม่จากศูนย์บริการ ซึ่งเกือบทุกชิ้นมีราคาแพงถึงแพงมาก แต่ ก็มั่นใจได้กับการรับประกัน, อะไหล่ใหม่ของเทียบแถววรจักร และอะไหล่มือสองเชียงกง ซึ่งถ้าไม่ ใช่อะไหล่ตัวถังหรืออะไหล่เฉพาะจุดจริงๆ ก็พอจะเทียบใช้กับแอสตินาและ 626 โครโนสได้ในบาง ชิ้น โดยเฉพาะเครื่องยนต์และช่วงล่าง

ก่อนซื้อควรทดลองขับให้แน่ใจก่อนว่า พอใจกับกำลัง 125 แรงม้าของเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,800 ซีซี หรือไม่ เพราะถ้าไม่ใช่คนเท้าหนักหรือใจร้อนจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องข้ามไปหารุ่นวี6 ที่แพงกว่าทั้งตัว รถยนต์ ค่าซ่อม และค่าน้ำมันฯ แต่ถ้าบ่นว่าอืดก็คงต้องเลือกรุ่นวี6 โดยแนะนำให้ซื้อรุ่นเกียร์ อัตโนมัติ และถ้ามีงบประมาณมากพอก็เลือกรุ่นแอร์แบ็กคู่

การตรวจสอบก็เหมือนรถยนต์ทั่วไป คือ ดูที่ตัวถังไม่ช้ำ และยังไม่น่ามีการทำสีทั้งคัน ช่วงล่างไม่ช้ำ โดยเฉพาะรุ่นวี6 เพราะคงไม่มีใครจ่ายแพงกว่าไปเพื่อขับย่องๆ เกียร์อัตโนมัติยังทำงานครบทุก จังหวะ และเปลี่ยนได้อย่างนุ่มนวล

มาสด้า แลนติส สปอร์ตซีดานระดับกลาง เด่นที่ช่วงล่างและเบรกที่มั่นใจได้ ระบบต่างๆ ไม่ซับซ้อน วัสดุและคุณภาพในการประกอบดี เพราะเป็นรถยนต์นำเข้า ห้องโดยสารแคบนิด อะไหล่หาไม่ง่าย และอะไหล่ราคาไม่ถูกเหมือนรถยนต์รุ่นยอดนิยม

ดังนั้นถ้าสนใจ ควรเลือกซื้อคันที่มีสภาพดีจริงๆ ราคาถูกสักหน่อย จะได้เหลือเงินไว้ซ่อม และผู้ใช้ก็ ควรมีแหล่งในการซ่อม เพราะถ้าเข้าศูนย์บริการล้วนๆ คงกระเป๋าเบา ควรรู้จักให้ช่างหรือตนเอง เทียบใช้อะไหล่ทั้งใหม่-เก่า ทั้งอะไหล่จากมาสด้ารุ่นอื่น หรืออะไหล่ทดแทนในยี่ห้ออิสระ เช่น ผ้า เบรก โช้กอัพ ฯลฯ ตัวรถยนต์คุณภาพและสมรรถนะดี แต่ต้องรู้จักวิธีซ่อมที่ไม่แพง และทำใจหน่อย ตอนขายต่อ ว่าจะขายยากนิด และราคาตกมากหน่อย

==========================

คัดลอกจาก บทความในหนังสือ Thai Driver