หาก switching transistor มันเสีย เกิดขา E กับขา B มันชอร์ทถึงกัน ก็จะทำให้สัญญาณ IGT ถูกชอร์ทลงกราวด์ด้วย เราก็จะวัดสัญญาณ IGT ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการตรวจเช็ค transistor ที่ทำหน้าที่ขยายสัญญาณ IGT เราจึง ต้องมีการวัดค่าโวลเต็จที่ขา B และขา C ของมันด้วยว่าในขณะที่ทำงาน มันมีค่าโวลเต็จต่างกันอย่างไร เพื่อมาวิเคราะห์การทำงานของมันอีกครั้ง
จาการตรวจวัดค่า voltage ที่ขา B และขา C ได้ความว่า ที่ขา B วัดได้ 3.32 vollt และที่ขา C วัดได้ 3.12 volt มันเป็นเรื่องที่ตลกมาก เพราะปกติที่ขา B จะมีค่า voltage ที่สร้าง Bias voltage ให้กับ ทรานซิสเตอร์ประมาณ จุดของโวลท์ หรือประมาณ 0.2-0.5 volt และที่ขา C จะประมาณ 3-4 volt เมื่อมี +Vcc =5 volt และถ้าหากมีการขยายสัญญาณแบบ direct coupling ที่ขา C ของทรานซิสเตอร์ที่ขยายสัญญาณ จะวัดได้ประมาณ 0.5 volt จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับค่าR load ของขา C แต่ในบอร์ด กล่องECU ของมาสด้ารุ่นนี้ วัดได้ 0.54 volt( เมื่อปกติมีสัญญาณ IGT ออกมา)
เมื่อค่าที่วัดได้ออกมาตลกๆแบบนี้ ทำให้ทราบได้ทันทีว่า ที่ตัวทรานซิสเตอร์ ตัวที่ทำหน้าที่ขยายสัญญาณ IGT มันมีขา E กับ C เกิด open คือมันไม่ต่อ junction ที่รอยต่อ ขั่ว P และขั่ว N กล่าวคือหากเราวัดค่าโอมห์ที่ขาของทรานซิสเตอร์ดังกล่าว จะวัดไม่ขึ้น เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นอย่างที่กล่าวหรือไม่
ก็ต้องถอดเอาทรานซิสเตอร์นี้ออกมาวัด (อย่าวัดในวงจรที่ขาทรานซิสเตอร์บัดกรีติดกับปริ้น) ผลจากการวัดค่าโอมห์ที่ขาของทรานซิสเตอร์ ปรากฏว่าเป็นไปตามที่กล่าว และ เป็นการยื้นยันว่าทรานซิสเตอร์ตัวนั้นเสียจริง
เมื่อสามารถที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดได้ตามปกติแล้ว ก็ได้นำเอาเจ้า oscilloscopทำการตรวจวัด
สัญญาณ IGT ที่ผ่านการขยายของทรานซิสเตอร์ที่เปลี่ยนลงไปแทนตัวที่เสีย จากการวัดสัญญาณ output ได้ความแรงของสัญญาณพัลส์ =2.72 volt หรือคิดเป็นมิลลิโวลท์ = 2720 มิลลิโวลท์
ซึ่งมีความแรงเป็นสิบกว่าเท่าของสัญญาณทางด้าน input ที่ขา BASE ที่วัดได้ในคราวแรก ผมจะทยอยภาพจากการวัดสัญญาณด้วย digital oscilloscope ต่อจากเนื้อหานี้
สำหรับรถมาสด้า Lantis-V6 นี้ หากท่านเจ้าของรถที่มีปัญหาเดียวกันนี้ แล้วได้ทดลองตรวจสอบตามขั้นตอนที่ผมแนะนำมา หากยังไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้ ก็ขออย่าได้กังวลไป เพราะสิ่งที่ดำพแนะนำนั้นขอยืนยันว่าถูกต้อง แต่มันมีปัจจัยร่วมแบบโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น เนื่องจากรถที่ท่านเจ้าของรถนำไปติดตั้งเชื้อเพลิงสองระบบ หรือติดตั้งแก็ส LPG แล้วช่างที่ติดตั้ง ได้ทำการติดตั้ง Auto switch เพื่อเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิง โดยช่างได้นำเอาสายไฟที่เป็นสายสัญญาณวัดความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ไปใช้เป็นตัวกำหนดการ transfer การเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิง ของกล่อง Auto switch
ดังนั้นช่างจึงเอาสายไฟสัญญาณที่เข้ากล่อง Auto switch ไปต่อที่ ขา C ของ switching transistor ซึ่งปกติที่จุดนี้ จะมีไฟ 12 volt จากการเปิดสวิชทฺกุญแจในตำแหน่ง ON ไหลผ่านขดลวด ของตัว Ignition coil ที่ขดไพรมารี่ มาเข้าขา C โดยให้สวิชชิ่งทรานซิสเตอร์ ทำหน้าที่ตัดต่อกระแสไฟที่ไหลผ่านขดลวดไพรมารี่ลงกราวด์ เพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก อินดิวส์ไปที่ขดลวดทางด้านเซ็คคั่นดารี่ มีกระแสไฟโวลเต็จสูง ทั้งยังมีสัญญาณพัลส์เกิดขึ้นที่จุดนี้
เมื่อช่างเอาสายไฟสัญญาณมาต่อเอาสัญญาณพัลส์ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไปใช้ เท่ากับว่ามีไฟไปที่สายสัญญาณวัดความเร็วรอบของกล่อง Auto switch ด้วย แต่ในวงจรของ Auto switch เขาใช้ค่า capacitor บล็อกกระแสไฟโวลเต็จเอาไว้ เอาเฉพาะสัญญาณพัลส์ ที่เป็นรูปแบบของ ซายน์เว็ฟหรือสแควเว๊ฟ coupling เข้าวงจร Frequency to voltage
เมื่อใดก็ตามที่วงจรของ Auto switch มันเสียเกิดการชอร์ทภายในวงจร ทำให้ไฟที่ขา C ของ switching transistor ถูกชอร์ทลงกราวด์ด้วย ทำให้ไม่มีไฟ 12 volt จ่ายไปที่ขา C ทำให้วงจรสร้างไฟโวลเต็จสูงให้กับหัวเทียน ไม่ทำงาน มันก็สตาร์ทไม่ติด ต้องระวังไว้ด้วย หากเกิดกรณีอย่างนี้ ในทางปฏิบัติ ให้เราทำการตัดสายไฟสัญญาณความเร็วรอบเครื่องยนต์ เส้นที่ต่อเข้ากล่อง Auto switch ออก ก็สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้ ตามสเต็ปการตรวจเช็คที่ผมแนะนำมาก็เป็นเกล็ดข้อมูลความรู้มาเสริมให้