ใช้แล้วครับท่าน ไดชาร์ทและแบ็ตเตอรี่ ก็คือองค์ประกอบที่ทำงานร่วมกัน ในระบบไฟฟ้ารถยนต์ครับถูกต้องแล้วครับ
ปั๊มน้ำ =ไดชาร์จ ถังน้ำสำรอง = แบตเตอรี่
เมื่อเราใช้น้ำก็ใช้มาจากถังน้ำสำรองเท่านั้นครับ ก็คือต้องผ่านแบตเตอร์รี่ หรือเหมือนโทรศัพท์เมื่อแบตฯหมดเราเสียบปลั๊ก=ไดชาร์ท เปิดเครื่องต้องใช้ไฟฟ้าต้องผ่านแบตฯเท่านั้น แต่ไม่มีไฟก็ยังต่อได้เพราะไฟมาจากปลั๊กหรือไดฯนั้นเอง ฉะนั้นถ้ามองมุมเครื่องยนต์มันใช้ไฟจากแบตฯ ถ้ามองอีกมุมมองไฟหลักก็ต้องมาจากปลั๊กคือไดฯ ที่ต้องใช้ไฟผ่านแบตฯครับ อันนี้แบบบ้าน ๆ ครับเข้าใจง่ายดี
แต่.....แบบหลักการ ไดชาร์จ ( Alternator )
หน้าที่ของไดชาร์จ คนส่วนใหญ่คิดว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในรถยนต์ทั้งหมดใช้ไฟจากแบตเตอรี่ไม่ว่าจะติดเครื่องยนต์ หรือไม่ได้ติดเครื่องยนต์ แล้วไดชาร์จมีหน้าที่เติมไฟ หรือชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ซึ่งความเข้าใจแบบนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ อิอิ ที่ถูกต้องคือ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ทั้งหมดจะใช้ไฟจากไดชาร์จ ไดชาร์จไม่ได้มีหน้าที่ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่โดยตรง แต่ที่ไดชาร์จสามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้เพราะว่า แรงดันไฟที่ไดชาร์จผลิตออกมาได้นั้นมีค่าสูงกว่าแรงดันไฟที่แบตเตอรี่มี จึงทำให้เกิดการไหลของกระแสไฟศักย์สูงไปยังกระแสไฟศักย์ต่ำ และสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดแบบนั้นก็เพราะว่าเราคนไทยเรียกมันว่า "ไดชาร์จ" ซึ่งจริงๆ แล้วชื่อของไดชาร์จคือ "อัลเทอร์เนเตอร์" นะครับ ซึ่งแปลว่า เครื่องปั่นไฟ โดยปกติที่รอบเดินเบาของเครื่องยนต์แรงดันไดชาร์จขณะเปิดโหลดจะอยู่ที่ 13.9V 14.5V โหลดในที่นี้จะมีอยู่ 2 อย่าง คือ แอร์ และ ไฟหน้า เพราะฉะนั้นในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในรถยนต์จะใช้ไฟจากไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใช้ไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์อย่างที่เคยเข้าใจกันมา สังเกตได้จากรถรุ่นเก่าๆ สมัยก่อน เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วสามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้ครับ
สาเหตุที่รถดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ขณะเครื่องยนต์ทำงานแล้วมีอยู่ 2 กรณีครับคือ
1. มีการเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าไปภายในรถมากเกินกว่ากำลังไฟที่ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) จะสามารถผลิตได้ เช่น ติดตั้งเครื่องเสียงเพิ่ม, ติดชุดไฟเพิ่มโดยปกติรถแต่ละรุ่นจะมีความต้องการไฟฟ้า หรือมีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่เท่ากัน(คิดที่กรณีรถใหม่ออกจากโรงงาน) ซึ่งทางผู้ผลิตรถแต่ละรุ่นจะเลือกขนาดของไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) มาให้เหมาะสมกับความต้องการไฟของรถแต่ละรุ่น แต่เมื่อมีการเพิ่มขึ้นของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ติดตั้งชุดเครื่องเสียงเพิ่ม, ติดตั้งชุดไฟเพิ่ม ส่งผลทำให้ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้พอกับความต้องการ ทำให้ต้องมีการดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ และหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง
2. ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เริ่มเสื่อม หรือไดอ่อน ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เสื่อม แต่ยังไม่เสียมันเลยไม่มีไฟแจ้งเตือนที่หน้าปัดรถยนต์ แต่สามารถตรวจสอบได้ แรงดันไฟที่ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) รถยนต์สามารถสร้างขึ้นได้จะอยู่ที่ประมาณ 13.9V 14.5V แต่จะมีบางกรณีที่ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ไม่สามารถสร้างแรงดันไฟได้ถึง 13.9V 14.5V เราเรียกกรณีนี้ว่าอาการ "ไดชาร์จอ่อน" ซึ่งเวลาตรวจสอบว่ารถมีอาการไดชาร์จอ่อนก็คือ สตาร์ทเครื่องแล้วเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหลัก คือ แอร์ และไฟหน้าค้างไว้ เอาดิจิตอลมิเตอร์ปรับเป็น DC โวลต์ วัดคร่อมระหว่างขั้วบวก และขั้วลบของแบตเตอรี่ค่าแรงดันไฟจากไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ที่ได้ควรอยู่ระหว่าง 13.9V 14.5V ถ้าต่ำกว่านี้แสดงว่าประสิทธิภาพการผลิตไฟของไดชาร์จ(อัลเทอร์เน-เตอร์) เริ่มลดลง และถ้าแรงดันไฟจากไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ต่ำกว่า 13.5V แสดงว่ามีอาการไดชาร์จอ่อนจะส่งผลให้ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้เพียงพอต่อความต้องการของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในรถ ทำให้ต้องมีการดึงไฟจากแบตเตอรี่ไปใช้ส่งผลให้แบตเตอรี่อยู่ในสภาวะคายไฟ สาเหตุนี้เป็นสาเหตุใหญ่และสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกตินั่นเอง
การตรวจสอบไดชาร์จวัดด้วยโวลล์มิเตอร์และต้องเปิดแอร์ขณะวัดทำไม.....
เพราะว่าแอร์รถยนต์ เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่กินไฟฟ้ามากที่สุดในรถ ดังนั้นการจะตรวจสอบประสิทธิภาพของไดชาร์จ จึงต้องวัดขณะที่ไดชาร์จมีภาระที่ต้องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ หากเปิดแอร์แล้วไดชาร์จประสิทธิ ภาพไม่ดี แรงดันไฟฟ้า ก็จะตกลง (ณ.ระดับ 13.5V ถือว่าค่อนข้างต่ำแล้ว) หากไดชาร์จมีประสิทธิภาพดี (แข็งแรง) จะรักษาแรงดันไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 13.8V ระดับ 13.5V ถือเป็นระดับต่ำสุดที่ยอมรับได้ (และถ้าเมื่อเปิดไฟหน้าแล้ว ต่ำกว่า 13.5V ก็ให้ระวังช่วงขับรถตอนกลางคืนไว้ และถ้าไดชาร์จเรามีประสิทธิภาพต่ำ แล้วแบตเตอรี่ ก็จะไม่ได้รับการชาร์จที่ดีพอ ดังนั้น หากต้องการให้แบตเตอรี่ มีอายุยืนยาว ก็อาจจะใช้เครื่องชาร์จเล็ก ๆ ชาร์จแบตฯ ช่วงวันหยุด ที่เราไม่ได้ใช้รถ เพื่อเป็นการบำรุงรักษาแบตเตอรี่
แบตเตอรี่คือ
ทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานหลักในกรณีที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน เป็นแหล่งจ่ายพลังงานสำรองในกรณีที่เครื่องยนต์ทำงานแล้ว การเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ขณะเครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานเป็นการทำร้ายแบตเตอรี่อย่างหนึ่ง เพราะโดยปกติเมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วเครื่องใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ทั้งหมดจะใช้ไฟจากไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เท่านั้น แต่ถ้าประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์)ลดลง รถยนต์จะใช้ไฟจากแบตเตอรี่แทนเพราะไดชาร์จไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้พอ เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่จะมีอายุสั้น หรือยาว จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ด้วย
ปัจจุบันแบตเตอรี่ที่มีขายในประเทศไทยมีอยู่ 3 ประเภท
1.แบตเตอรี่ชนิดน้ำ คือ แบตเตอรี่ที่ต้องมีการเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ เนื่องจากมีการระเหยตัวของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่สูง แบตเตอรี่ชนิดน้ำต้องการ การบำรุงรักษาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์
2.แบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อย(Low maintenance) คือ แบตเตอรี่ที่ยังต้องมีการเติมน้ำกลั่นแต่ไม่บ่อยเท่ากับ "แบตเตอรี่ชนิดน้ำ" เพราะแบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อยมีการระเหยตัวของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ต่ำจึงไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อย แบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อยต้องการ การบำรุงรักษาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อ 3 เดือน
3.แบตเตอรี่ชนิดไม่ต้องบำรุงรักษา(Maintenance free) หรือที่คนทั่วไปเข้าใจผิดว่ามันคือ"แบตแห้ง" จริงๆแบตเตอรี่ชนิดนี้ยังไม่ใช่แบตแห้งอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน แต่ที่คนเข้าใจผิดกันก็เพราะว่าแบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่มีรูให้เติมน้ำกลั่น เป็นแบตเตอรี่ที่ปิดสนิท คนเลยเข้าใจกันว่าแบตเตอรี่ชนิดนี้เป็นแบตเตอรี่แห้ง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะแบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อยมีการระเหยของน้ำกลั่นที่ต่ำมาก ทำให้ตลอดอายุการใช้งานจึงไม่ต้องมีการเติมน้ำกลั่น หมดปัญหาเรื่องการบำรุงรักษา และปัญหาน้ำกรดในแบตเตอรี่ล้นออกมากัดสี และตัวถังรถยนต์ เนื่องจากเติมน้ำกลั่นมากเกิน
จากรูปเป็นวงจรพื้นฐานของระบบไฟฟ้าในรถยนต์ เมื่อเปิดสวิทช์กุญแจรถยนต์ แบตเตอรี่จะถูกดึงกระแสไฟฟ้าประมาณ 8 - 9A ไปเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ และเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เริ่มมีการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อไปเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆภายในรถยนต์แทนแบตเตอรี่ และไดชาร์จปกติจะมีแรงดันอยู่ประมาณ 13.9V 14.5V และต่ำสุดไม่ควรต่ำกว่า 13.5V เพราะถ้าแรงดันไดชาร์จต่ำกว่า 13.5V จะทำให้แบตเตอรี่ถไม่ได้ถูกเติมไฟเข้า หรือมีไฟเติมเข้าแบตเตอรี่น้อยมาก จนทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลงครับ
การเปลี่ยนแบตฯ
ปัจจุบัน มีความเข้าใจอย่างผิด ๆ ในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ในรถยนต์ (รุ่นใหม่ ๆ) ที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์ ไว้อย่างมาก (รถยนต์ที่ใช้กล่องควบคุม ECU ) ว่าการเปลี่ยนแบตเตอรี่ จะต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ ไว้ แล้ว ค่อยเปลี่ยนแบตเตอรี่ จะทำให้หน่วยความจำต่าง ๆ คงอยู่ และ ไม่ถูกลบ ซึ่งก็ถูกต้องครับ แต่ถูกแค่ครี่งเดียวครับ (ถูกต้องที่หน่วยความจำต่าง ๆ จะไม่ถูกลบ ครับ แต่ ผิดตรงที่ไม่ปลอดภัย ครับ และ หากเกิดความผิดพลาด ที่ช่างผู้ปฏิบัติงาน จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุ่นแรงกับกล่อง ECU และ อาจเกิดอุตบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้ ครับ
แต่การเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยไม่มีการสำรองไฟฟ้า ให้รถยนต์ ก็จะทำให้รถรุ่นใหม่ เกิดความผิดปรกติบางอย่าง (ไม่ถึงกับทำให้กล่อง ECU เสียหายครับ เพียงแต่ ECU จะทำงานรวน และ ต้องการให้เรานำรถยนต์เข้าไป Reset ค่า มาตรฐานใหม่ ในศูนย์บริการ และ อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น วิทยุ และ กระจกไฟฟ้า ก็ต้องการการ Reset ใหม่ด้วยเช่นกัน ครับผม
ดังนั้นจึงจำแป็นครับ ที่ช่างสมัยใหม่ จะต้องสำรองไฟฟ้าให้กับรถยนต์ โดยการเลี้ยงไฟฟ้าผ่านทางช่องชาร์จไฟในรถยนต์ โดย จะต้อง เสียบเครื่องสำรองไฟฟ้าเข้ากับช่องดังกล่าว แล้ว เปิดสวิทช์กุญแจรถยนต์ไปที่ ตำแหน่ง On หรือ บางคัน อาจจะต้องไปที่ตำแหน่ง Acc . (ซึ่งเราทดสอบได้โดยการเปิดวิทยุ หากเปิดกุญแจไปต่ำแหน่ง On แล้ววิทยุทำงานได้ก็ OK แล้วครับ (ที่เราเสียบเครื่องสำรองไว้กับช่องชาร์จไฟ ในรถ ก็เพราะช่องดังกล่าวจะมีฟิวส์ ป้องกันไฟเกินเอาไว้ ครับ ทำให้หากเกิดความผิดพลาด ก็จะช่วยลดความเสียหายได้ครับ อิอิ