Close this window

โปเต้ 1.6 มีอาการรอบเดินเบาสูง ขอผู้รู้ช่วยตอบครับ
1.ตอนเช้าสตาร์ท แล้วเครื่อง วืดดับ รอเครื่องร้อนหน่อนนึง แล้วถึงเดินเบาได้

2.พอเดินเบาเครื่องร้อนแล้วรอบดันสูง ประมาน 1500 ไม่เกิน 2000

3.พอเปิดแอร์ ฉุดเครื่องดับ

อาการเหล่านี้น่าจะมาจากสาเหตุอะไรได้บ้างครับ ยังสงสัยตัวเดินเบาที่ติดกับปีกผีเสื้อด้วย ช่างบอกมาว่าไม่ทำงาน

เพิ่งเปลี่ยนฝาสูบมาใหม่นะครับ เนื่องจากวาล์วไหม้ น้ำดันออก เลยตัดสินใจ ซื้อฝาใหม่เลย
พอเปล่ยนแล้วก็ยังมีอาการดังกล่าวมา ตอนนี้ก็สั่งสายชุดคอร์ยหัวเทียนศูนย์มาและ 1600 บาทครับสองเส้น

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบ
โดย: art007   วันที่: 9 Jul 2012 - 11:11


 ความคิดเห็นที่: 1 / 15 : 723851
โดย: samuraiseven
คุณart007 ไม่ทราบว่าอยู่แถวไหนครับ อยากลองสลับเปลี่ยนอะไหล่ดูก่อนไหมครับ 0879765083
วันที่: 09 Jul 12 - 11:17

 ความคิดเห็นที่: 2 / 15 : 723871
โดย: samuraiseven
0819112132 ลองโทรไปนะครับ
วันที่: 09 Jul 12 - 11:48

 ความคิดเห็นที่: 3 / 15 : 723874
โดย: art007
ขอบคุณมากครับ
วันที่: 09 Jul 12 - 11:55

 ความคิดเห็นที่: 4 / 15 : 723941
โดย: เดกไหม่หัดซน
อืม วาวล์ไหม้ น้ำดันออก เปลี่ยนฝาใหม่/รอบสูง 1500-2000 รอบ เปิดแอร์เครื่องยังดับ รอฟัง ด้วยคน
วันที่: 09 Jul 12 - 16:56

 ความคิดเห็นที่: 5 / 15 : 724015
โดย: Fujiwara Takumi
อาการของท่านสตาร์ทรถใหม่ ๆ เครื่องเย็น ถ้าเร่งเครื่องรอบจะตกและสั่นมากเกือบดับ "จนถึงดับเลย" เป็นทั้งแก๊สและน้ำมัน แต่ถ้าเครื่องร้อนแล้วไม่เป็นไร ถ้าใช่ ก้อแสดงว่ามีปัญหาที่วาล์ว ให้ไปตั้งวาล์วเลยครับ ถ้าไม่แน่ใจให้ช่างเช็คแรงอัดในกระบอกสูบของแต่ละสูบ ถ้าต่ำกว่ามาตรฐาน ก็น่าจะมีปัญหาที่วาล์วแน่นอนครับ

ส่วนพอเดินเบาเครื่องร้อนแล้วรอบดันสูง ประมาน 1500 ไม่เกิน 2000 ลองตรวจสอบ เซนต์เซอร์ วัดอุณหภูมิน้ำ ดูครับ เช็คพวกสายไฟและจุดเชื่อมต่อของ O2 Sensor เพราะถ้ามันเย็นความต้านทานสูง พอร้อนความต้านทานต่ำ มันเป็นตัวส่งสัญญาณ ไป ECU เพื่อสั่งให้พัดลม และ ISC ทำงานครับ
อุปกรณ์ของวงจรควบคุมรอบเดินเบา ใน ECU เสีย ก็เป็นไปได้ครับ ถอดเปลี่ยน Condenser แล้วอาจจะหาย แต่วงจรนี้มันจะมี Transistor เป็นตัวควบคุม สองผู้ต้องสงสัย ถ้าวัดค่าเป็นก็ลองตรวจสอบดูครับ พวกcoil และ หัวเทียน ก็เกี่ยวครับ อิอิ

หรือจะลองอีกวิธีก็ เมื่อรอบขึ้นสูง แล้วดึงปลักซ์ ISC ออกเลย ถ้ารอบไม่ลดลงก็ สาเหตุอื่นครับ อาจเป็น พวก Vacuum ลองเช็คท่อ Vacuum PCV Vacuum Sensor Valve purge ( คือ Solenoid อีกตัวที่ต่อท่อมาจากถังน้ำมัน ด้านหลัง ผ่าน Canister จะเปิดเป็นจังหวะเพื่อระบายไอน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าท่อร่วมไอดี กลัวหลุด รั่ว หรือ เปิดค้าง ) Fluid regulator ถอดสายเอานิ้วอุดไล่ทีละวงจร ครับ

อาการที่น่าห่วงที่สุดของท่าน
แอร์ของท่าน ลองเช็ค ACC Value ดูก่อนครับ เพราะมันจะช่วยชดเชยรอบเดินเบาให้แอร์ หรือถ้าผมคิดเป็นห่วงมากคือ เป็นคอมแอร์ที่ดึงรอบเครื่องหนักจนเครื่องดับไปครับ เกิดจากพวกน้ำมันคอมแห้ง สาเหตุที่น้ำมันคอมแห้งน่าจะเกิดจากการรั่วอย่างรุนแรง ซึ่งหากในระบบมี PRESSURE SWITCH อยู่จะตัด คลัทช์ ไม่ให้ต่อเพื่อป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์และระบบแอร์เสียหาย แต่ถ้าไม่มี PRESSURE SWITCH ระบบแอร์จะพัง โดยลูกสูบคอมเพรสเซอร์กับกระบอกสูบจะสึกหรอจากการเสียดสีอย่างรวดเร็ว และจะเสียในลักษณะขัดตัวหากยังเปิดแอร์อยู่จะทำให้ฉุดเครื่องจนดับหรือสายพานไหม้ แต่ที่อาการที่น่าสนใจคือ น้ำมันน้อยเกินไป เนื่องจากการซึมออกไปพร้อมกับน้ำยาแอร์ เมื่อเติมน้ำยาแอร์แต่ช่างไม่เติมน้ำมันคอม ทำให้การหล่อลื่นไม่สมบูรณ์ การสึกหรอเป็นไปอย่างช้าๆ และสะสมในระบบน้ำยาแอร์ (น่ากลัวกว่าน้ำมันคอมรั่วอย่างรวดเร็ว) เมื่อเกิดอาการอย่างนี้จะต้องล้างระบบทั้งหมดครับ และควรเปลี่ยน EXPAND VALVE ด้วย

อีกสาเหตุนึงที่พวกช่าง(เถอะ)ยืมป๋า Yut 13 มา อิอิ เขามักจะทำบ่อยครับ เติมน้ำมันคอมให้ แต่คนล่ะประเภท เขาอาจเติมน้ำมันไฮดรอลิคแทน
ไม่ก็ รถที่ใช้น้ำยาเบอร์ R134aที่ต้องใช้น้ำมันสังเคราะห์โพลี... แต่ไปเติมน้ำมันแร่ของR12 ซึ่งราคาถุกกว่าลงไป เติมไม่เยอะเลยอาจยังไม่เจอปัญหาเรื่องร้อนจนน็อกทันที แอร์เย็นอยู่...แต่ระยะยาวครับ เรื่องดูดความชื้น สนิม แล้วก็สารทำความเย็นไม่ผสมกับน้ำมัน ทำให้เหมือนมีอากาศเข้าไปในระบบแอร์..ทีนี้ร้อนจัดจนน็อกอีกครับ
คอมแอร์เลยร้อนจัด ทำปฎิกิริยากับน้ำมัน ความชื้น และน้ำยาในระบบ ด้วยคุณสมบัติจะเปลี่ยนไป จนกลายเป็นกรดเกลือ กัดกร่อนระบบ ถ้าถ่ายออกมา จะเห้นน้ำมันคอมแอร์เป็นสีเทาๆจนสีออกดำ ขึ้นอยุ่กับว่า กัดกร่อนมากน้อยไหม
สีมาจากไหน ถูกกรดมันกัดครับ มาจากท่อทางเดินน้ำยาครับ ตู้แอร์ แผงร้อน และคอมแอร์ที่ทำด้วยเหล็ออลูมิเนียมหล่อ ถ้าร้อนจัดมากๆก็รุนแรงจนระบบแห้งได้ นั่นคือ คอมน็อกล็อกตายครับ ทีนี้ซ่อมหนักเลย
ถ้าน้ำมันแห้งหรือน้อยเกินไป...คอมร้อนจัด เพราะไม่เพียงพอที่จะนำพาสารทำความเย็นไหลวนได้ต่อเนื่อง...เสียงสูบจะดัง สึกหรอ...จากนั้นคอมค่อยๆน็อกระบบตันไปด้วยเศษอลูมิเนียม เศษยางโอริ่งละลาย...ทีนี้ เปลี่ยนคอมใหม่หรือจะซ่อม..เปลี่ยนกรอง เปลี่ยนวาล์ว ล้างระบบ ..ยกชุด... พระเจ้า

เกร็ดความรู้ครับ....น้ำมันคอมจะหมดหรือเหลือน้อย มีเพียง 2 กรณี คือ..รั่ว..กับแห้ง ไม่ได้ใช้แอร์รถเป็นเวลานาน ถ้าเริ่มมีปัญหา จะเริ่มมีเสียงสูบคอมแอร์ดังเหมือนกับโลหะสีกัน..เวลาปิดแอร์จะไม่ได้ยิน หากเปิดแอร์แล้วเสียงมา
คอมอาจร้อนจัดจนจับไม่ได้...แอร์ไม่เย็นเพราะเพลต จาน หรือกระบอกสูบเสื้อสูบคอมแอร์แตกครับ เสียแรงอัดแรงดูดน้ำยาแอร์ไปแล้ว ....
ถ้าเริ่มผิดปกติ จะมีเสียงดังก่อน และแอร์เย็นน้อยหรือไม่เย็นเลย..
อาการคงไม่หนักมาก....ควรรีบตรวจเช็คแอร์แล้วเติมน้ำมันคอมแว๊คเติมน้ำยาลงไปใหม่ครับ...อิอิ
วันที่: 09 Jul 12 - 22:56

 ความคิดเห็นที่: 6 / 15 : 724047
โดย: art007
ในกรณีแอร์ผมก็เย็นเจี๊ยบเลยนะครับตอนนี้ ตามอาการที่คุณ Fujiwara Takumi กล่าวมา เวลาเปิดแอร์และเครื่องดับ เป็นตอนใช้น้ำมันนะครับ แต่แก๊ซจะไม่ัดับบ หรือท่านทิ้งเบอร์โทรไว้ได้ไหมผมจะโทรไปปรึกษาขอบคุณมากครับ

ข้อสงสัย 1. O2 Sensor อยู่ตรงไหนครับลักษณะเป็นยังไง
2. isc คือตัวอะไรครับทำหน้าที่อะไร มันอยู่ตรงไหน
3. Vacuum PCV Vacuum Sensor Valve purge ขอรายละเอียดนิดครับ
4. Fluid regulator ถอดสายเอานิ้วอุดไล่ทีละวงจร อันนี้ไล่ยังไงครับ
5. ในกรณีที่บอก ถ้าใช้แก๊ส แอร์เปิดได้ไม่ดับ แอร์เย็นเจี๊ยบ เครื่องไม่ดับ เข้าเกียร์แอร์ไม่ดับ
ผมลืมบอกไปน้ำมัน ตอนเข้าเกียร์ก็ดับด้วยต้องเร่งเครื่องออกตัวเลย ถึงจะไม่ดับครับ
แก๊สไม่เป็นอีกเช่นกัน

ผมเลยกะจะทำน้ำมันให้นิ่งก่อนแล้วค่อยไปทำแก๊สครับ ยังไงรบกวนด้วยนะครับ
วันที่: 10 Jul 12 - 08:03

 ความคิดเห็นที่: 7 / 15 : 724129
โดย: Fujiwara Takumi
O2 Sensor เปิดฝากระโปรงรถ ถอดท่อรับอากาศเข้าเครื่องยนต์ออก จะเป็นแผ่นพลาสติกสีดำพาดอยู่หลังหม้อน้ำ ติดอยู่กับคานฝากระโปรงหน้า พอถอดออกจะเห็นท่อไอเสียครับ มองลงไปตรงตรงท่อไอเสีย ถ้าหันหน้าเข้าหารถให้มองด้านขวาของท่อ จะเห็นปลั๊กเสียบอยู่หนึ่งตัว ตรงนั้นคือ O2 Sensor ครับ

ISC คือ Idel Speed Control เป็นตัวควบคุมรอบเดินเบาครับ เกี่ยวกับแอร์ ไดชาร์ต ตอนที่ อุปกรณ์ no-load และ on-load เพื่อให้รอบเดินเบาคงที่ ที่รอบที่เหมาะสม รวมไปถึงการเพิ่มรอบเดินเบาเวลาเครื่องเย็น หรือสตาร์ทตอนเช้าครับ มันเป็นชุดเดียวกันติดอยู่กับลิ้นปีกผีเสื้อนั้นแหละครับ

PCV ย่อมาจาก Positive Crankcase Ventilation ครับ มันเป็นวาล์วที่ติดตั้งเข้าไปในระบบเพื่อทำการลดปริมาณของก๊าซ hydrocarbon ที่เกิดจากการเผาไหม้ ภายในห้องเผาไหม้ กลับเข้าไปยังท่อร่วมไอดี (intake manifold) เพื่อไม่ให้หลุดออกไปสู่ชั้นบรรยากาศ
อาการเสีย : จากการทำงานของตัววาล์ว ตอนที่เรายังไม่ได้ติดเครื่องยนต์ตัวสปริงภายใน PCV จะดันปิดรูไว้จนสุด พอเราติดเครื่องยนต์แล้ว ที่ความเร็วรอบเดินเบาปกติของเครื่อง จะมีแรงดูดเข้าไปในท่อรวมไอดีสูงมาก
จึงทำให้วาล์วถูกดูดเข้าไปในตำแหน่ง minimum ตัววาล์วจึงเปิดให้อากาศไหลผ่านได้เพียงเล็กน้อย
ซึ่งจะมีผลต่อการควบคุมรอบเดินเบาด้วย ถ้าหากว่าวาล์วไม่ปิดในสภาวะนี้ จากนั้นเมื่อเราเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว ความเป็นสูญญากาศในท่อร่วมไอดีจะลดลง อากาศจะสามารถไหลผ่านออกมาจากห้องเผาไหม้ไปยังท่อร่วมไอดีได้ เนื่องจากสปริงในตัววาล์วจะดันตัวเองกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่อากาศสามารถไหล ผ่านได้เต็มที่ในขณะรถวิ่งที่ความเร็วปกติจะเกิดความสมดุลของสูญญากาศ PCV จะเปิดอยู่ในระดับปกติกลางๆ ถ้าเกิดว่าวาล์วไม่เปิด เวลาวิ่งเครื่องจะค่อนข้างเสียงดังออกตื่อๆ แต่ถ้าในกรณีเกิด Backfire ขึ้น จะมีแรงดันออกมาจากท่อร่วมไอดี PCV valve จะทำหน้าที่ปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้ผ่านเข้าไปในเครื่องยนต์ได้
วิธีการตรวจสอบ
- ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานอยู่ในสภาวะรอบเดินเบาปกติที่อุณหภูมิปกติ ให้ทำการดึงตัววาล์วออกมาจากฝาเครื่อง
( ถ้าท่านยังไม่เคยเปลี่ยนเลยก็ไปซื้อมาก่อนได้เลยเพราะว่าพลาสติกมันจะแข็ง และกรอบจนกลายเป็นแก้วไปเลยละ อย่าลืมยางรองที่ติดอยู่ในรูของฝาครอบเครื่องด้วยนะครับ )
-จากนั้นเอานิ้วแตะที่รูของ PCV valve จะต้องมีแรงดูดเข้าไปข้างใน
-จากนั้นทำการดับเครื่องยนต์ แล้วให้ทำการเขย่าตัววาล์วดูจะต้องได้ยินคลิกๆ

Vacuum Sensor ( MAP sensor / เซ็นเซอร์อุณหภูมิของน้ำ ) คือ เซนเซอร์วัดแรงดันท่อร่วมไอดีครับอยู่แถวลิ้นเร่งนั้นแหละครับ
Valve purge คือ Solenoid อีกตัวที่ต่อท่อมาจากถังน้ำมัน ด้านหลัง ผ่าน Canister จะเปิดเป็นจังหวะเพื่อระบายไอน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าท่อร่วมไอดี กลัวหลุด รั่ว หรือ เปิดค้างครับ

ส่วน "Fluid regulator ถอดสายเอานิ้วอุดไล่ทีละวงจร อันนี้ไล่ยังไงครับ" สงสัยผมทำให้ท่านเข้าใจผิด วิธีตรวจสอบคือ ให้ช่างตรวจสอบแรงดันน้ำมัน ว่าได้ตามกำหนดหรือไม่ ( ประมาณ 39-45 psi ) แล้วต้องมีแรงดันตกค้างไม่ต่ำกว่า 20 psi ครับ หากต่ำกว่าให้เปลี่ยน Fluid regulator และหากไม่มีแรงดันตกค้างเลย แสดงว่ารั่ว ตรวจสอบท่อน้ำมัน และหัวฉีด ครับ

ส่วนอาการน้ำมันของท่าน อาการรอบเดินเบามีรอบเครื่องยนต์สูง เข้าเกียร์ดับ มันมีสาเหตุหลัก ๆ อยู่สองสามอย่างครับ แต่ก่อนอื่นผมถามว่าช่างที่ทำการซ่อมโดยเปลี่ยนฝาสูบให้ท่านอาการนี้ให้คุณ ไปทำการปรับตัวเรือนลิ้นเร่ง TPS บ้างหรือไม่ครับ โดยมากช่างที่ไม่สามารถหามูลเหตุในการแก้ไขเรื่องรอบเดินเบาได้ จะใช้วิธีปรับสกรูดันวงล้อแกนลิ้นปีกผีเสื้อ ให้ลิ้นปีกผีเสื้อเปิดให้อากาศเข้าสู่ห้องไอดีเพิ่ม เหมือนกับเราเหยียบคันเร่งช่วยไว้ เพื่อให้รอบเดินเบาของเครื่องยนต์สูงไว้ก่อน กลัวว่าเครื่องยนต์จะดับเวลาเข้าเกียร์ หรือเหยียบครัช แต่การปรับอย่างนั้นมันเป็นระบบเครื่องคาร์บิว จะมาใช้กับระบบที่ควบคุมด้วยสมองกล ECU ไม่ได้ การทำงานของระบบ ECU จะอาศัยตัวเซ็นเซอร์ต่างๆ เป็นตัวป้อนข้อมูลให้ ECU ทราบว่า การทำงานของแต่ละส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำงานมีขั้นตอนอย่างไรที่จะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ
การที่ช่างบางท่านได้ไปทำการปรับ ตัว TPS sensor ที่ติดอยู่ร่วมกับแกนลิ้นปีกผีเสื้อ หากปรับไม่ตรงตำแหน่ง ในจังหวะรอบเดินเบาและอัตราเร่งของเครื่องยนต์แล้ว จะทำให้รอบเดินเบาสวิงในรอบสูง กลับไปกลับมา ทั้งนี้เพราะว่าตำแหน่งที่ตัว TPS sensor อ่านค่าโวลเทจจากตำแหน่งลิ้นปีกผีเสื้อปิด(รอบเดินเบา)และลิ้นปีกผีเสื้อเริ่มเปิดกว้าง เป็นอัตราเร่งของเครื่องยนต์ มีค่าไม่ตรงกับตำแหน่งนั้น เช่นไปปรับสกรูดันให้ลิ้นปีกผีเสื้อเปิด ทั้งๆที่อยู่ในรอบเดินเบา ก็กลายเป็นว่า ECU รับข้อมูลโวลเทจที่ตัว TPS อ่านได้ในขณะนั้น เป็นตำแหน่งอัตราเร่งของเครื่องยนต์ มันก็จะสั่งให้หัวฉีด มีเวลาในการฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้น ให้เหมาะสมกับอัตราเร่ง จึงทำให้รอบเครื่องยนต์สูงในขณะนั้น ในขณะเดียวกันกับที่เครื่องยนต์มีโหลด เช่นเข้าเกียร์ ทำให้ ECU สั่งให้หัวฉีด ฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อให้เครื่องยนต์มีกำลัง แต่เมื่อ TPS ส่งข้อมูลไปให้ ECU ทราบในตอนแรกว่าอยู่ที่อัตราเร่ง(เพราะปรับผิด) ทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีก เป็นผลให้มีน้ำมันมากในส่วนผสม หนา ทำให้การจุดระเบิดไม่สมบูรณ์ ผลที่ออกมาคือเครื่องยนต์มีกำอัดต่ำ รอบเครื่องยนต์ในขณะนี้จะต่ำ จึงทำให้รอบสวิงไปมาระหว่างสูงและต่ำ
อีกสาเหตุก็ การที่เครื่องยนต์มีรอบสูงในจังหวะรอบเดินเบา มันเป็นการบ่งบอกว่ามีอากาศรั่วเข้าไปที่ท่อไอดีของเครื่องยนต์ เหมือนกับเราเหยียบคันเร่งให้ลิ้นปีกผีเสื่อเปิด อากาศก็จะผ่านเข้าไปในท่อไอดี รอบจะมากหรือน้อยก็อยู่กับการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ ก็ทำนองเดียวกันกับ อากาศที่รั่วเข้าไปทีท่อไอดี แล้วมันจะรั่วได้ที่ใดบ้าง ให้สังเกตให้ดีว่าที่ท่อไอดีของเครื่องยนต์จะมีท่อยางที่ต่อไปใช้งานต่างๆ เช่นท่อยางที่ต่อเข้าไปที่ห้องเครื่องยนต์เพื่อดูดเอาไอน้ำมัน เกิดรั่วหรือฉีกขาด หรือวาวล์กันกลับของท่อยางลิ้นรั่ว ทำให้มีอากาศใหลเข้าท่อไอดี ทำให้เครื่องยนต์มีรอบสูงประมาณ 1500-2000 รอบ บางทีมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าอากาศเข้ามากหรือน้อย ( วิธีทดสอบง่าย ๆ ดังนี้ครับ ให้คุณถอดท่อสายยางที่ท่อแว็คคั่มไอดี สายที่สอดใต้ฝาครอบพลาสติคสีดำ ตรงปลั๊กที่เสียบหัวฉีด เส้นนี้ดึงออกจากทอไอดี ด้านเดียว แล้วทดลองดูดที่ปลายท่อที่ดึงออก หากลมผ่านได้ก็โอเค แต่ถ้าหากเราเป่าลมให้เข้าไปในท่อ หากปกติ มันจะเป่าให้ลมผ่านไม่ได้ คือเป่าแล้วไม่มีผล เพราะลิ้นกันกลับของวาวล์กั้นไม่ให้ลมผ่าน
ถ้าสมมุติว่าผ่านได้ ตั้งแต่มากไปจนผ่านตลอดได้แบบท่อไม่มีอะไรขวาง แสดงว่า วาวล์กันกลับลิ้นเสีย ทำให้อากาศไหลเข้าห้องท่อไอดีมากว่าที่กำหนด (ปกติในขณะที่มีแรงดูดของแว็คคั่มที่ท่อไอดี มันก็จะดูดอากาศผ่านลิ้นไอดีได้ แต่ไม่มาก อากาศที่ไหลผ่านลิ้นที่วาวล์นี้ จะสัมพันธ์กับการปรับอากาศของสกรู ปรับรอบเดินเบาที่ตัวเรือนปีกผีเสื้อ) ทำให้รอบเครื่องยนต์สูง หากไหลผ่านมากมากรอบก็ยิ่งสูง ไหลผ่านน้อยรอบจะสวิงสูงบ้างต่ำบ้าง ตามแรงดุด Vacuum ที่ท่อไอดีครับ ) และก็ท่อยางต่างๆที่ต่อไปใช้งาน รวมไปถึงลิ้น เปิดสุญญากาศ Vacuum switching valv (VSV) ACV ลิ้นควบคุมอากาศ ตัวเหล่านี้อาจจะรั่ว ทำให้อากาศไหลเข้าท่อไอดี และอย่าลืมตรวจท่อยางที่ต่อจากท่อดีไปเข้าหม้อลมเบรคด้วยครับ อาจจะรั่วก็มีส่วนครับ
อีกสาเหตุนึง บางครั้งอาจจะมาจากการตั้งไฟ องศาการจุดระเบิดไม่ถูกต้อง หรือเซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยงขัดข้อง ช่างที่ตรวจต้องใช้เครื่องมืออีเลคโทรนิคส์เข้าช่วย วิเคราะห์หาสัญญาณ ที่กำเนิดภายในตัวจานจ่าย ว่ามีสัญญาณ G NE เกิดขึ้นหรือไม่ ในทางที่ดีควรลองหาตัวจานจ่ายมาทำการทดลองเปลี่ยน ตามร้านขายอะไหล่มือสองครับ
หากขั้นตอนในการตรวจเช็คหาจุดบกพร่องต่างๆแล้ว ยังแก้ไม่หาย แนะนำให้ท่านทำการทดลองเปลี่ยนกล่อง ECU ดูครับ หรือเพื่อเป็นการตัดปัญหาในการตรวจสอบเบื้องต้น ควรทดลองเปลี่ยนกล่อง ECU ในขั้นตอนแรกเลยครับ เพื่อจะได้หายความสงสัย แล้วค่อยดำเนินขั้นตอนที่ผมแนะนำครับ เพราะบางทีปัญหานี้เกิดจากกล่อง ECU เสียได้เหมือนกันครับ

เพิ่มเติม ถ้าท่านล้างตัวเรือนปีกผีเสื้อทุกครั้งที่ถอดออกมาล้าง อย่าลืมเปลี่ยนปะเก็นใหม่ทุกครั้งครับ ครวจท่อยางที่ออกจากท่อไอดีไปยังที่อื่นๆว่ารั่วหรือเปล่า หรือทดลองดึงท่อยางนั้นๆออกตรงที่เข้าท่อไอดี แล้วใช้มืออุดเอาไว้ สตาร์ทเครื่องดูว่ารอบขึ้นสูงหรือไม่ ถ้าอุดแล้วรอบเครื่องลดลงมาที่ปกติ แสดงว่าท่อยางที่สวมกับท่อไอดีนั้นรั่ว ทำทีละเส้นนะครับ โดยเฉพาะท่อยางที่ต่อไปเข้าตัวเครื่องยนต์ด้านล่าง ที่ท่อยางอาจจะหลุดจากเบ้าเสียบลิ้นกันกลับที่ติดกับเสื้อเครื่องยนต์ หรือตัวลิ้นกันกลับ อาจจะรั่ว ทดลองดึงปลายสายทางที่เสียบเข้ากับท่อไอดีออก แล้วใช้ปากเป่าท่อยางว่าลมผ่านไปได้หรือไม่ ถ้าผ่านได้แสดงว่าลิ้นกันกลับรั่วครับ
สังเกตุดูสกรูปรับดันจานวงล้อสายคันเร่งที่ติดกับแกนปีกผีเสื้อ ปรับดันให้ปีกผีเสื้อเผยอเปิดไว้หรือเปล่า ควรปรับให้ลิ้นปีกผีเสื้อปิด แล้วตั้งปรับตัว TPS ให้อยู่ที่ตำแหน่งรอบเดินเบา และประการสุดท้ายลองเปลี่ยนตัวจานจ่าย เพื่อทดสอยการทำงานขององศาไฟจุดระเบิด
หากตรวจพบเจอที่รั่วของอากาศได้แล้ว และซ่อมเปลี่ยน หากมีรอบเครื่องยนต์ต่ำแต่ไม่สูง และยังสวิงให้ทำการเปลี่ยนVacuum Sensor ตัวที่ติดกับเรือนปีกผีเสื่อ อาจจะเป็นปกติ ลองทำดูครับถ้าไม่ชำนาญหาช่างไว้ใจได้แล้วบอกอาการดูครับ ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจผมรบกวนขอ อีเมล์ท่านแล้วกันนะครับ
วันที่: 10 Jul 12 - 12:52

 ความคิดเห็นที่: 8 / 15 : 724175
โดย: art007
kapook_pu_[email protected] ผมอาร์ทครับ มีเรื่องจะปรึกษาเลยละครับ

ก่อนอื่นขอบคุณมากครับท่บอกอย่างละเอียดผมจะลองกลับไปทำดู เท่าที่ผมเข้าใจครับ

แล้วเรื่องที่ท่านว่าเรื่องคอมแอร์ ในกรณีที่ใช้แก๊สรถก็ไม่ดับ เดินเบาค่อนข้างปกติมีสวิงบ้าง

แอร์ผมเย็นดีนะครับ น่าจะมาจากอะไร แต่จะหันกลับมาใช้น้ำมัน ดันรวนซะยกใหญ่
วันที่: 10 Jul 12 - 14:17

 ความคิดเห็นที่: 9 / 15 : 724185
โดย: art007
เอาอย่างนี้ผมเริ่มตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า ก่อนเปลี่ยนฝาสูบ

ตอนแรกตอนเริ่มมีอาการ คือ ผมไปจอดรถทำเครื่องเสียงมา หลังออกจากร้าน ผมรู้สึกว่า เครื่องยนต์มันวิงอืดๆเหยียบไม่ค่อยไป รู้สึกว่ากำลังมันตก

กรณีน้ำมัน : ก็สตาร์ทน้ำมันติด แต่ดับวืดในตอนเครื่องเย็น ร้อนหน่อยก็ไม่ดับ พอเปิดแอร์ก็ดึงเครื่องยนต์ดับ เวลาจะขับน้ำมันพอใส่เกียร์แล้วต้องเรงเครื่องส่งเลย รถจะออกตัวได้แต่สดุด อึกๆๆๆ เลย พอเร่งเครื่องได้สักนิดก็ออกตัวได้ เข็นกว่าจะขึ้น 100 เหนื่อยแทนรถเลยครับ

กรณีสับมาใช้แก๊ส : หลังจากสตาร์ทน้ำมันก็เร่งเครื่องให้ตัดแก๊สเลยที่รอบประมาเกือบสองพัน พอตัดเป็นแก๊สแล้ว ไม่ดับครับรอบเดินเบาก็นิ่งพอสมควรมีสวิงบ้าง เปิดแอร์ไม่ดับ ใส่เกียร์วิ่งไม่ดับ ไม่มีอาการอึกๆๆๆๆ อย่างน้ำมัน แต่ก็รู้สึกว่าวิ่งอืดเหมือนกัน แต่ก็ยัดีกว่าน้ำมัน เร่งขึ้นได้ประมาณ 120 ครับ

พอผมใช้มาสักพักเวลาขับเข้ากรุงเทพ เวลารถติด เครื่องเริ่มมีอาการเร่งขึ้น รู้สึกว่าเครื่องร้อนขึ้น เพราะแอร์เริ่มความเย็นลดน้อยลง พอถึงที่หมาย ลงมาเปิดฝากระโปรงรถดู มีอาการน้ำดันออกหม้อพักเดือดปุ๊ดๆๆๆๆๆ เลย เป็นอย่างนี้ประมาน 3 ครั้ง ผมก็ไปจูนแก๊สใหม่ก็วิ่งดีขึ้นอีกหน่อย หน่อยเดียว แต่รู้สึกว่าเครื่องมันเย็นลง ผมคิดว่าตอนั้นแก๊สอาจบางไปก็ได้ ก็ใช้ต่อมาเรื่อยๆ

วันนึงผมก็ เริ่มอยากจะแก้ไขอาการน้ำมัน เลยสตาร์ทเครื่องตอนเครื่องร้อนแล้ว ลองดึงปลั๊กไฟที่หัวฉีด ปรากฎว่า หัวฉีดที่สูบสอง เวลาดึงออกแล้ว มีอาการน้อยมากแบบเครื่องมันมีความรู้สึกหน่อยเดียว ไม่เหมือนสูบอื่นที่ดึงแล้วรู้สึกเลยว่ากำลังมันตก ก็เลยนำหัวแฉีดไปล้างกลับมาใส่ใหม่อาการก็ยังเหมือนเดิม เลยถอดหัวเทียนออกมา วัดกำลังอัด สูบที่หนึ่ง ได้ 180 สองได้ 160 สามได้ 180 สี่ได้ 180 ประมานนี้ก็เลยสงสัยว่าวาล์วรั่วหรือเป็นที่แหวนกันแน่ที่ทำให้กำลังตก เลยวัดเปียกดูโดยเอาน้ำมันหยอดลงไปแล้ววัดกำลังอัดอีกที ได้ สูบที่หนึ่ง ได้ 200 สองได้ 180 สามได้ 200 สี่ได้ 200 ก็เลยคิดว่าเป็นพวกแหวนตาย ก็เลยนำรถเข้าอู่

ช่างปิดฝาสูขขึ้นมา พบว่า วาล์วไหม้จริงๆที่สูบสอง เอาน้ำมันหยอดไหลโกร๊กเลย ช่างบอกว่าชุดล่างยังแน่นไม่ต้องไปยุ่งกะมัน ช่างแนะนำให้เปลี่ยนฝาเนื่องจากมีน้ำดันออกแล้ว แล้วจากการวัดของช่างเค้าบอกฝาน่าจะโก่งถ้าให้จบสมควรเปลี่ยนฝา

ผมก็เลยไปโกดังพี่สุดได้ฝาสวยๆมาอันนึง สวยกว่าฝาผมอีก กะว่าอาการน้ำมันหายแน่นอนละคราวนี้ก็นำมาให้ช่างจัดการ ใส่เข้าไป วันไปรับรถ ตอนจะขี่ออกมาช่างสับแก๊สไว้ คราวนี้รอบสวิงมากๆ ทั้งแก๊สทั้งน้ำมัน ช่างบอกลองเอาไปวิ่งดูก่อน ผมก็ลองไปวิ่งดู วิ่งแก๊สกลับมาบ้าน กลางทางมีแบ๊คดังบึ้ม ใจเริ่มไม่ดี วิ่งมาถึงบ้านผมก็สับน้ำมันเดินเบาไว้ รอบเดินเบารถ ก็เริ่มสูง อาการขับน้ำมันเปิดแอร์ยังดับอยู่ดี พอเดินเบาน้ำมันได้สักแปป ผมกดปีกผีเสื้อไล่รอบรถดู บึ้มเลย แบ๊คฟราย ท่อดำหลุดจากปีกผีเสื้อ ไฟลุกวาบเหมือนแก๊สยังคาอยู่แล้วไฟก็ดับ ผมก็เลยเอาท่อแก๊สออกจากระบบก่อนเลย แล้วไปหาช่างที่ทำรถ เค้าก็พาไปหาอีกช่างโดยอีกช่างก็บอกว่า

1. ดูระบบไฟก่อนเช็คสายคอร์ยกับคอร์ยก่อนน่าจะเกิดจากสาเหตุตรงนี้
ผมเลยสั่งสายหัวเทียนใหม่เบิกศูนย์มาก่อน ตอนนี้รออะไหล่อยู่

คราวนี้ผมเลยสงสัยว่ามันยังไงกันแน่นะ ผมว่างๆก็เลยถอดปีกผีเสื้อ มาล้าง โดยมันจะมีตัวชดเชยรอบติดกะปีกผีเสื้อซึ่งผมเรียกชื่อไม่ถูก เอามาล้างทำความสะอาดด้วย ดำพอสมควร เลยลองถอดได้ตัวชดเชยรอบมาดู น๊อตแฉกสองตัวยึดกะปีกผีเสื้อ ปรากฎว่า มันจะมีตัวตั้งที่เป็นหกเหลี่ยม มีแกนยื่นเข้าไปถุงแกนเหล็กข้างใน ซึ่งไอ้ตัวตั้งเนี่ยหักอยู่ แต่ผมป้อนไฟตรง 12 v วาล์วก็ทำงานนะ ตึกๆๆๆ ผมเลยทะลวงตัวตั้งหกเหลี่ยมดำๆออก เพราะมันหักแล้วอุดด้วยซีเมนเหล็กไว้ก่อน คราวนี้สตาร์ทขึ้นมา รอบสูงแฮะ แต่เครื่องนิ่งขึ้น มีอาการ อึกๆบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็ รอสายหัวเทียนสองเส้นอยู่ ยังทำอะไรไม่ได้

จากอาการที่เล่ามาท่านว่าน่าจะเป็นยังไงมั่งครับผมสงสัย
1.ช่างใส่สายแว๊คคัมผิดบ้างป่าวเนี่ย
2.พวกใส่คอไอดีให้ผมดีมั้ยเนี่ยถ้าใส่แบบมีอาการรั่วก็น่าจะทำให้รอบสูงขึ้นได้เนื่องจากมีอากาศเข้า ผมเข้าใจผิดรึป่าวก็ไม่รู้
3.สงสัยตัวชดเชยรอบแต่ละตัวมันปกติรึป่าว

ขอบคุณมากนะครับรบกวนเยอะเลย
วันที่: 10 Jul 12 - 15:00

 ความคิดเห็นที่: 10 / 15 : 724208
โดย: เดกไหม่หัดซน
ใส่ฝาใหม่ วัดกำลังอัดไว้ได้เท่าไรครับ ฝาเก่าเคยปาดมาแล้วเหรอ
วันที่: 10 Jul 12 - 16:16

 ความคิดเห็นที่: 11 / 15 : 724210
โดย: art007
ฝาเก่าช่างบอกโก่งอ่ะครับ ผมก็ว่ามันจะโก่งหรอ แต่ในเมื่อน้ำดัน แล้วก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเลย ตอนใส่ฝายังไม่ได้วัดกำลังอัดครับ
วันที่: 10 Jul 12 - 16:19

 ความคิดเห็นที่: 12 / 15 : 724235
โดย: เดกไหม่หัดซน
อืม เช็คแรงดัน น้ำมัน เช็คกำลังอัด เช็คไฟด้วยครับได้กี่โวลท์ ส่วนการปรับจูนนี่ เด่วค่อยว่ากัน องงค์ประกอบ อื่นครบๆ เรื่องจูนค่อยว่าอีกที ผมจับประเดนตรงที่คุณเปนหลังออกจาก ติดตั้งเครื่องเสียง ระบบไฟ กลับการที่คุณทิ้งช่วงการใช้น้ำมันไป แล้วกำลังอัดที่คุณวัดได้ จาก ฝาเก่า นั่น มากโขอยู่นา ของผม เครื่องฮีท วัดได้ 140 เอง ของคุณยัง 180 -160 ต่างกันยี่สิบ ไม่น่าเปนปัญหา ถึงมันจะดันน้ำ แต่รอบเดินเบา ไม่น่าเปนงี้ อะ
วันที่: 10 Jul 12 - 17:47

 ความคิดเห็นที่: 13 / 15 : 724370
โดย: Fujiwara Takumi
ขอโทษทีตอบช้า พอดีงานยุ่งมาก ๆ เลยครับ เพิ่งว่างตอน ตี 5 นี่เองเลยงีบก่อนดีก๋า อิอิ
เข้าเรื่องวิเคราะห์
ตอนแรกสตาร์ทแล้วดับ ผู้ต้องสงสัยที่ผมคิดคือ ปั๊มติ๊ก กรองเบนซิน หัวฉีดตัน รางหัวฉีดน้ำมัน แล้วก็ตัวปรับแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงเร็กกูเลเตอร์ หัวเทียน และสายคอยส์ด้วย แต่เห็นเท่านเล่าต่อว่ามีอาการดับแล้วแถมมีอาการเครื่องไม่มีกำลัง เดาว่ารถท่านน่าจะมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าปกติใช่มั้ยครับ
และหากปล่อยไว้อาการหนักขึ้นจะวิ่งไม่เรียบและจะมีการอาการสะดุดมากขึ้น เครื่องยนต์ไม่มีกำลังมากขึ้น หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจไปไกลถึงฝาสูบโก่งหรือแตกร้าวได้เลยครับซึ้งน่าจะใช่เพราะวาล์วท่านไหม้ด้วย ( ไม่เกี่ยวกับเครื่องเสียงแน่ ๆ ครับ )
ต่อมาอการเข้ากรุงเทพมีอาการน้ำดันออกหม้อพัก ความร้อนขึ้นขนาดไหนครับ เคยฮีทรึปล่าวครับ ถ้ายังฝาสูบอาจยังไม่โก่งก็ได้นิครับ เพราะอาจแค่ประเก็นฝาสูบรั่ว/แตกก็ได้ ช่างได้เช็คดูแน่แล้วใช่มั้ยครับว่าโก่ง แต่เค้าว่าโก่งแล้วนิ แล้วก็เปลี่ยนแล้วด้วยข้ามเลยล่ะกัน เอาเป็นว่าท่านรู้มั้ยว่าต้นเหตุเกิดจากอะไรครับมันเกิดจากช่างที่ติดตั้งแก๊สระบบ Mixer หรือระบบหัวฉีดให้ท่านผมว่าที่ผู้ติดตั้งยังปรับแต่งไม่ถูกต้องครับทำให้เกิดแบบนี้
สาเหตุ
เกิดจากการปรับแต่งปริมาณเชื้อเพลิงและอากาศ ที่ใช้ในการสันดาปในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ไม่ถูกต้อง ( Incorrect Air/Fuel Ration - Tune up )ไม่มีการตรวจสอบ เช็คระยะ โดยการใช้เครื่องมือตรวจสอบค่า STFT ( Short term Fuel Trim ) และ LTFT ( Long term Fuel Trim ) ภายหลังการใช้งานในสภาวะต่างๆ โดยเฉพาะช่วงวิ่งทางยาวๆเป็นระยะไกล เป็นระยะเวลานานๆ
การปรับแต่งปริมาณเชื้อเพลิงและอากาศที่ว่าไม่ถูกต้อง นั้น ส่วนมากร้อยละ 70-80% จะเกิดจากสาเหตุการปรับแต่งที่เชื้อเพลิงน้อยเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากความเข้าใจผิด หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่าด้วยการปรับแต่งให้เครื่องยนต์ได้รับเชื้อเพลิงในปริมาณที่น้อยกว่าปกติ ด้วยความเข้าใจว่าจะทำให้เกิดการประหยัดเชื้อเพลิง แต่ผลเสียที่เกิดตามขึ้นมาคือ อุณหภูมิความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ ในขณะที่เชื้อเพลิงน้อย นั้น จะมีอุุณหภูมิความร้อนสูงกว่าการปรับแต่งให้พอดีกว่า 200-300 c ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้จะส่งผลโดยตรงต่อความเสียหายของวาล์วไอเสีย ทำให้วาล์ว บ่าวาล์ว ก้านวาล์ว ตลอดจนหน้าสัมผัส เกิดการบิดตัว เสียรูป ผิดไปจากค่าที่กำหนด ซึ่งจะส่งผลอย่างรวดเร็วมากน้อย ช้าหรือเร็วขึ้นกับ อัตราการปรับแต่งที่ผิดพลาดและความทนทานของวาล์วและบ่าวาล์วของเครื่องยนต์นั้นๆเป็นสำคัญ
ค่าที่ได้ขณะใช้น้ำมันและแก๊สจะต้องเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันค่าที่ได้ต้องเท่ากันเกือบ 100% ถึงจะดีนะครับ
การแก้ไข
หากรถของเรามีปัญหาแล้ว ก็ให้ดำเนินการแก้ไขซ่อมแซมเสียก่อน โดยการเปิดฝาสูบ ตรวจสอบวาล์วไอดี ไอเสีย ตรวจสอบหน้าสัมผัส ตรวจสอบบ่าวาล์ว หากชำรุดมากก็ต้องเปลี่ยน และดำเนินการปรับตั้งใหม่ให้ถูกต้อง แล้วจึงประกอบกลับเข้าไปเพื่อการปรับแต่งที่ถูกต้องต่อไป
หากรถของท่านยังไม่มีปัญหานี้ สมควรนำรถเข้ามาเช็คระยะ เพื่อตรวจสอบปรับแต่ง ปริมาณเชื้อเพลิงและอากาศให้ถูกต้อง เสียก่อน ก่อนที่จะสายเกินไป ( อย่างของท่านอ่ะครับ ถ้าหายเป็นปกติก็อย่าลืมปรับจูนแก็สให้ถูกต้องด้วยนะครับ เพราะเดี๋ยวก็จะเป็นอีกแน่ ๆ )
อย่าลืมว่า
การติดตั้งแก๊สนั้น ใครๆก็ติดตั้งได้ครับ แต่จะติดตั้งให้ดี ให้ไม่มีปัญหาตามาในระยะยาวนั้นต้องได้รับการติดตั้งจากผู้ที่รู้จริง และชำนาญ ช่างต้องที่มีเครื่องไม้ เครื่องมือ ในการตรวจสอบ ใช้เครื่องมือเป็น มีเครื่องมือในการปรับตั้งอย่างถูกต้อง เพราะเรื่องนี้ มันจะไม่ส่งผลเสียในช่่วงเวลา 1-2 ปีเลยนะครับ และท่านจะไม่ทางทราบได้เลยหากท่านไม่เข้าใจค่า STFT และ LTFT แต่แน่นอนผลเสียนี้จะกระทบนั้นจะเกิดขึ้นแบบลักษณะค่อยๆสะสม วันละนิดๆ ก่อนที่จะถึงจุดที่เครื่องยนต์ของท่านเสียหาย แบบไม่น่าจะเสียหาย และน่าเสียดายจริง ๆ นะครับถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับท่าน
ของท่านพอเปลี่ยนฝาสูบมาสวิงทั้งแก็ส และ น้ำมัน อย่างที่บอกครับระบบวาล์วอันนี้จะมีผลกับรอบเดินเบาไม่นิ่ง รอบจะสวิงไม่นิ่ง เพราะวาล์วเริ่มมีอาการยัน ถ้าท่านหรือท่านใดพบอาการเครื่องสั่น ก็เตรียมตัวตั้งวาล์วได้เลยครับ แต่มันจะไม่ดับนะครับ อิอิ ( ของท่านดับด้วยอาจมีส่วนมาจากข้างบนสุดที่ผมวิเคราะห์ไว้อ่ะครับ )
ส่วน back fire ของท่านมันคือการชิงสุขก่อนห่าม เอ๋!ถูกเปล่าว๊าาาา อ้อ! ชิงจุดก่อน ครับ อิอิ เพราะไฟมันแรง+กับเผาไหม้ไม่หมด จังหวะที่ไอดีกำลังเปิด แก๊ชก็กำลังไหลเข้า ช่วงที่กำลังเปิด ไฟที่เผาไหม้ไม่หมดมันเจอแก๊ช ก็ลามไฟออกจากวาล์วไอดี ไปเจอขุมทรัพย์แก๊ช ก็เลยระเบิดตูมเลย ถ้าระเบิดในห้องเผาไหม้ ลูกสูบพังเลยนะครับครับ แถมช่วงที่เกิดระเบิดท่านกำลังกดปีกผีเสื้อก็เหมือนเหยียบคันเร่งไว้ ถ้าไม่เหยียบคันเร่งไว้ ลิ้นปีกผีเสื้อ คงพัง ส่วนใหญ่จะเป็นกับระบบดูดครับ เดาของท่านระบบดูดชิมิเพราะระบบดูดมันรวมครับ และก็เกิดจากการจูนแก็สที่ผิดตามที่ผมว่ามาจูนผิดวิธีแน่ ๆ ครับ วาล์วกลางสายที่ว่าคือ power วาล์ว เอาไว้จูน พีค ไม่ได้เอาไว้จูนเดินเบา เดินเบาต้องที่ หม้อต้ม ที่ตัวไอเดิลหรือสกรูปรับเดินเบาเท่านั้น ถ้าปรับที่ powerวาล์ว ให้เดินเบาได้ พอเร่งเครื่องแก๊ส จะไหลไม่ทันนะคมันจะทำให้แก๊สบางมากๆ จนหัวเทียน ของท่านร้อนจนแดง จนชิงจุดลุกลามออกมาข้างนอก อย่างที่ว่า อันตรายมาก เครื่องจะพังเอาได้ นะครับ และมีสิทธิ์เป็นที่คอล์ยช็อทได้ครับผม แต่ผมว่าโดยรวมผมว่าต้นเหตุมาจากการจูนแก็สครับ
อีกอย่างท่านลองล้าง EGR ดูเพราะว่ามันมีผลกับรอบเดินเบาของ PROTEGE มากกว่าลิ้นปีกผีเสื้อ กับ ISC valve ซะอีกครับ ถอดมาล้าง น่าจะได้ผลที่น่าพอใจหลังจากทำไม่มากก็น้อยนะครับ
วันที่: 11 Jul 12 - 10:23

 ความคิดเห็นที่: 14 / 15 : 724389
โดย: art007
ขอบคุณมากครับท่าน เด๋วผมจะลองทำดูได้ผลยังไงจะมารายงาน
วันที่: 11 Jul 12 - 10:52

 ความคิดเห็นที่: 15 / 15 : 725385
โดย: art007
วันที่: 16 Jul 12 - 07:52