Close this window

ใส่เกียร์ มอร์เตอร์ชดเชยรอบไม่ทำงาน
ใส่เกียร์ มอร์เตอร์ชดเชยรอบไม่ทำงาน เปิดแอร์ ทำงานปกติ

1.ที่รอบเดินเบาปกติ 800 Rpm ใส่เกียร์ ปุ้บ รอบล่วงลงมาที่ 600rpm ค้างอยู่แบบนั้น เหมือนมอร์เตอร์ไม่ทำงาน

2.ที่รอบเดินเบาปกติ 800 Rpm ไม่ใส่เกียร์ เปิดแอร์ รอบ เด้งขึ้นไป 900 Rpm ปกติ

3.ที่รอบเดินเบปกติ 800 Rpm ใส่เกียร เปิดแอร์ รอบ ขึ้นมา ที่ 850 Rpm (บางทีก็ เด้งลงมาที่ 600Rpm ก่อน แล้วถึงจะเด้งไป 850 Rpm)

เซนเซอร์ ที่จะไปคุม เกียร์ ให้รอบเดินเบาทำงานอยู่ตรงไหน ครับ
รถ FORD LASER 1.8 ตัวเดียว โปทีเจ้ ครับ
โดย: G   วันที่: 8 May 2010 - 14:18


 ความคิดเห็นที่: 1 / 3 : 562500
โดย: G
ECU และ Sensors ในการจัดการเครื่องยนต์ (Engine Management) ซึ่งเป็น ระบบ OBD-II อาจจะต้องการทราบว่า Sensors แต่ละตัวมีหน้าที่อะไร มีไว้เพื่ออะไร ก็ลองอ่านดู ครับ เอาไว้ช่วยวิเคราะห์ หาสาเหตุ เวลาเครื่องยนต์มีปัญหา เป็นแบบอย่างย่อนะ ครับ ส่วนว่า มันอยู่ตรงใหน หน้าตาเป็นอย่างไร


Oxygen Sensors หรือ ตัววัดปริมาณอ็อกซิเจนในท่อไอเสีย เป็นตัวกำเนิดไฟฟ้า ที่ป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอัตราผสมระหว่างอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กับ ECU หรือ PCM (Power-train Control Module) เพื่อทำการปรับแต่งส่วนผสมอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างเหมาะสม และเกิดมลพิษในระดับต่ำสุด เช่น ถ้ามี O2 เหลือในท่อไอเสียมากก็แสดงว่ามีอัตราการผสมบางไป ECU ก็จะทำการปรับแต่งการจ่ายน้ำมันให้พอดี เป็นต้น

Oxygen Sensors ที่เสื่อมสภาพ จะทำให้มีการจ่ายน้ำมันฯ ในอัตราส่วนผสมที่เข้ม (rich) ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันและเพิ่มมลพิษ

Oxygen Sensors จะหมดสภาพได้ตามอายุการใช้งาน หรือ อาจมีการเปรอะเปื้อน และออกอาการแผ่ว หากเครื่องยนต์หลวมมีน้ำมันเครื่องเผาไหม้ผสมออกมา หรือมีน้ำจากระบบหล่อเย็นรั่วออกมา (จากปะเก็นฝาสูบ) ผ่านท่อไอเสีย

รถ ยนต์ที่เป็นระบบ OBDII ส่วนมาก มี Oxygen Sensors หลายตัว อย่างที่เราเห็นอยู่ที่ท่อร่วมไอเสียแต่ละท่อ (เครื่อง V6 จะเห็นว่ามี 2 ตัว) และจะเห็นได้ที่ส่วนล่างถัดจาก หม้อ catalytic converter ไปอีก 1 ตัว ซึ่งใช้เพื่อควบคุมประสิทธิภาพในการทำงานของหม้อกำจัดมลพิษดังกล่าว

แม้ ว่าโดยทั่วไปจะไม่มีการกำหนดไว้ว่าควรจะเปลี่ยน Oxygen Sensors เมื่อใด ตามระยะเวลา หรือ ระยะการใช้งาน แต่เราก็สามารถเปลี่ยนเพื่อให้มันเหมือนใหม่ได้ สำหรับ Oxygen Sensors ในเครื่องยนต์ที่เป็นระบบ OBDII เรากะกันเอาว่าอายุการใช้งานของมันคงได้ อยู่ที่ประมาณ 160,000 กม. หรือบางครั้งอาจจะมากกว่า

Coolant Sensor มีหน้าที่วัดอุณหภูมิ (ในระบบหล่อเย็น) ของเครื่องยนต์ โดย ECU หรือ PCM จะใช้ข้อมูลจาก sensor ตัวนี้ควบควบ การจุดระเบิดในรูปแบบต่างๆ, การควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และไอเสีย (มลพิษ) ตัวอย่าง เช่น ขณะที่เครื่องยนต์เย็นอยู่ ส่วนผสมก็จะเข้มเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานและมีกำลังขับเคลื่อนตัวรถได้ แต่เมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงขึ้นได้ระดับหนึ่งแล้ว ECU ก็จะเริ่มใช้ข้อมูลจาก coolant sensor ปรับเปลี่ยนอัตราผสม ให้อยู่ในภาวะการทำงานที่เหมาะสม แบบที่เรียกว่า วงจรปิด หรือ Closed Loop Operation ซึ่งจะทำให้มีระดับไอมลพิษต่ำสุด

Throttle Position Sensor (TPS) จะคอยบอก ECU ถึงตำแหน่ง (เปิด-ปิด) ของวาล์วหรือลิ้นปีกผีเสื้อ โดย ECU จะใช้ข้อมูลที่ได้รับ ทำการปรับเปลี่ยนระยะเวลาการจุดระเบิด และอัตราส่วนผสม เมื่อความต้องการกำลังของเครื่องยนต์เปลี่ยนแปลง แต่ในบางกรณีเวลาเร่งเครื่องอาจเกิดปัญหา มีอาการวูบได้ (Flat spot) เหมือนกัน คล้ายกับเวลาปั้มในคาร์บิวเรเตอร์เสีย

Airflow Sensor ซึ่งมีอยู่หลายชนิด จะคอยรายงาน ECU ว่าเครื่องยนต์ใช้หรือดูดอากาศเข้าไปเท่าใด ขณะรถกำลังเดินเครื่องอยู่ ECU ก็จะทำการปรับเปลี่ยนอัตราส่วนผสมให้เหมาะสม เป็นไปตามสภาพที่เครื่องยนต์ต้องการในขณะนั้น Sensor ชนิดนี้ มีทั้งที่เป็นแบบ hot wire mass airflow sensors และแบบเก่าที่เรียกว่า flap-style vane airflow sensors ทั้งหมดมีราคาแพงพอสมควรถ้าต้องการเปลี่ยนใหม่ (ใน Citroen ใช้ Air Temperature Sensor ทำหน้าที่วัดปริมาณอากาศแทน บนหลักที่ว่า มวลหรือความหนาแน่นของอากาศผกผันต่ออุณหภูมิ)

Crankshaft position sensor ทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ อันแรกมันจะคอยวัดรอบการหมุนของข้อเหวิ่ยง และช่วยให้ ECU ทราบตำแหน่งข้อเหวี่ยง เพื่อว่าจะได้ตั้งระยะไฟจุดระเบิด (Ignition timming) ระยะการจ่ายเชื้อเพลิงของหัวฉีด (Injection timing) ได้อย่างถูกจังหวะ หน้าที่อันที่ สอง คือ ECU จะใช้ข้อมูลจากเครื่องวัดอันนี้ในการกำหนดรอบเดินเบาที่เหมาะสม โดยการส่งสัญญาณคำสั่งไปยัง Idle speed control motor และในเครื่องยนต์บางชนิด จะมีการติดตั้ง crankshaft position sensor เพิ่มขึ้น เพื่อใช้วัดตำแหน่งของข้อเหวี่ยงราวลิ้น (Camshaft) และส่งข้อมูลให้กับ ECU เพื่อใช้ในการปรับแต่งระยะเวลาการเปิด-ปิดของวาล์ว ไอดี ไอเสีย อีกด้วย (ระบบที่เรียกว่า Variable Valve Timing หรือ VVT)

Manifold absolute pressure (MAF) sensor เป็น ตัววัดค่าแรงดูดอากาศในท่อไอดี ซึ่งเป็นค่าที่ ECU ใช้สำหรับการกำหนดความต้องการกำลังของเครื่องยนต์ ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับการจุดระเบิด (ไฟอ่อน-แก่) รวมถึงเวลาและปริมาณการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับมวลอากาศที่มีอยู่ในขณะนั้น (ตอบสนองความต้องการได้รวดเร็ว)
Knock sensors หรือ Pinking Sensor ใช้วัดแรงสั่นสะเทือน (Vibration) ที่เกิดจากการระเบิดภายในลูกสูบ เพื่อใช้ในการปรับแต่งไฟจุดระเบิดให้เหมาะกับกำลังที่ต้องการของเครื่องยนต์ เมื่อมีการเข็ก (Knock) ของเครื่องยนต์ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ECU ก็จะปรับให้จ่ายไฟช้า (อ่อน) ลง

EGR position sensor เป็นตัววัดค่าและบอกกับ ECU ว่า วาล์ว ของท่อไหลกลับไอเสีย (exhaust gas recirculation -EGR) เปิดหรือไม่ มากเท่าไร ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ ECU สามารถตรวจพบปัญหาในระบบ EGR

Vehicle speed sensor (VSS) จะเป็นตัวบอกให้ ECU รู้ว่า รถมีความเร็วเท่าไรเพื่อที่จะได้ใช้ไปกำหนดการทำงานในส่วนอื่นของเครื่อง ยนต์ เช่น torque converter lockup ในเกียร์ นอกจากนั้นสัญญาณยังถูกนำไปใช้ กับระบบอื่นๆ อีก รวมทั้ง ระบบกันล้อตาย หรือที่เรียกว่า Anti-Brake Lock System (ABS) สำหรับใน Citroen ที่ระบบช่วงล่างเป็น Hydractive สัญญาณจาก Speed Sensor ยังถูกนำไปใช้โดย ECU Hydractive ด้วย เพื่อปรับให้ระบบช่วงล่างทำงาน ได้เหมาะตามสภาพในขณะนั้นๆ

เห็นใหม ครับว่า แต่ละตัวมีความสัมพันธ์กัน และมีความสลับซับซ้อนอย่างไร และยังแสดงให้เห็นถึง ปัจจัยอะไรบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องต่อการทำงานของเครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ ดังนั้น เมื่อ Sensor ตัวใด ตัวหนึ่งบกพร่อง จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะค้นพบว่าเป็นที่ตัวใหน ตัวเดียว หรือ หลายตัวพร้อมกัน การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาบางครั้งจึงต้องอาศัยผู้ชำนาญการ ที่มีประสบการณ์ หรือต้องมีเครื่องมือพิเศษ อย่างเช่น OBD-II Device ช่วย

ส่วน ตัวผม เห็นได้ว่า ระบบไฟฟ้า ถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญมากสำหรับการทำงานที่สมบูรณ์ ในรถยนต์ประเภทนี้ ครับ
เนื่องด้วยพยายามหาข้อมูลของ เซนเซอร์ เกียร์ที่ไปคุมรอบเดินเบา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ก้เลยไปเจอข้อมูล เซนเซอร์ตัวอื่น เลยเอาข้อมูลเซ็นเซอร์อย่างอื่นมา ให้เป็นข้อมูลสำหรับบางคนครับ
วันที่: 09 May 10 - 12:17

 ความคิดเห็นที่: 2 / 3 : 562692
โดย: จะเด็ด
ผมคิดว่า สำหรับเคสนี้
อยากให้ลองเอาเข้าศูนย์เช็ค Error Code ดูก่อนครับ
รู้ว่ามีปัญหาตรงไหน แล้วค่อยว่ากันอีกทีนึง

โปเต้ 1.8 ของไทย ผมคาดว่าอาจจะไม่มี OBD II
แต่โปเต้ 2.0 ของไทยมี OBD II แน่นอนครับ

ไม่มั่นใจว่าของฟอร์ด รุ่นฝาแฝดกะโปเต้ 1.8 จะเป็นยังไงเหมือนกัน
แต่ถ้ารถของฟอร์ด กะมาสด้า รุ่นใดไม่มี OBD II
น่าจะต้องใช้ VCM/IDS เป็นตัวอ่าน OBD I code ละครับ
วันที่: 10 May 10 - 08:58

 ความคิดเห็นที่: 3 / 3 : 562938
โดย: same
ถูกต้องอย่างคุณ G ครับท่านที่วางเครื่องใหม่หรือไปปรับแต่งเปลี่ยนแปลงจุด เซ็นเซอร์ต่างๆที่ว่ามานี้ควรที่จะให้ศูนย์ปรับแต่งใหม่ครับ ช่างส่วนใหญ่ถ้าไม่มีเครื่องมือที่ว่านี้ก็แค่เดาๆ เท่านั้นล่ะครับ
วันที่: 11 May 10 - 07:44