Close this window

อยากทราบว่าจะจ้างช่างไปดูรถมือสองกับเรา ได้ที่ไหน
http://www.one2car.com/CarInfor/cardetails.aspx?caridx=B210812023&row=2 ตัดสินใจจะชื่อรถ คันนี้ผู้รู้ช่วยวิจารณ์หน่อย และช่วยแนะนำว่ามีช่างบริการดูรถผู้สองหรือเปล่าอยากจ้างไปดูกลัวถูกย้อมแมว
โดย: james2345   วันที่: 7 May 2008 - 10:34


 ความคิดเห็นที่: 1 / 10 : 345744
โดย: Switch_ON!
แค่รูปก็มั่วแล้วอ่ะ

บางรู้มัน MT บางรูปมัน AT ตกลงว่ามันเป็นอะไรกันแน่
วันที่: 07 May 08 - 10:50

 ความคิดเห็นที่: 2 / 10 : 345754
โดย: 323 ซีดาน สีน้ำเงิน คนแปด
เอ ตอนเราซื้อรถ เรานัดเค้ามาดูหน้าบ้าน ลองขับ แล้วเราก็ขับไปหาช่างของเราปากซอยรามอินทรา 61 เค้าดูแล้วบอกว่าซ่อมได้ เราก็ซื้อเลยค่ะ อิ อิ เห็นช่างบอกว่าพี่จะซื้อยี่ฮ้ออะไรก็ได้ แต่อย่าซื้อมิตซู เราทราบแค่นี้ค่ะ... เราก็เถี่ยงช่างว่า เจ้าของร้านอะไหล่ปากซอยยังขับมิตซูเลย แล้วมันไม่ดียังไง ช่างก็ไม่บอกอะไร ค่ะ....
วันที่: 07 May 08 - 11:52

 ความคิดเห็นที่: 3 / 10 : 346038
โดย: bert
รูปที่แสดง มีมากกว่าหนึ่งคันแน่นอน
ลองหาคันอื่นดีกว่า เครื่องมันก็ดูแปลก ๆ นะครับ
วันที่: 08 May 08 - 22:19

 ความคิดเห็นที่: 4 / 10 : 346224
โดย: Yut13
รูปที่ 4 จากท้ายน่ะอะไร
วันที่: 09 May 08 - 16:47

 ความคิดเห็นที่: 5 / 10 : 555100
โดย: ช่างอาจณรงค์
การเลือกรถในมุมมองของผม
การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม โดย อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ



ขอเรียนทุกท่านไว้ก่อนนะครับว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงประสบการณ์ของผมเท่านั้นผมอาจจะตั้งกฎเกณท์ไว้ค่อนข้างสูงและคิดเสมอว่ารถไม่ได้มีคันเดียวต้องหาที่ดีที่สุดถ้าสงสัยคือหยุดทันทีไปหาใหม่เพราะเป็นความหวังและความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่มีต่อผมและผมจะดูตามความคิดของผมและให้ผู้ซื้อเป็นคนคุยกับคนขายและผมจะไม่พูดหรือตอบคำถามใดๆทั้งสิ้นให้ดูเหมือนพวกรับจ้างดูรถทั่วๆไปและผมจะให้ผู้ซื้อเลือกไว้2หรือ3คันซึ่งผมจะไล่ดูตามลำดับ เมื่อก่อนผมเคยรับดูรถมือสองโดยไม่คิดค่าตอบแทน(ตามแต่จะให้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้างหนึ่งมื้อ)แต่ก็จำไม่ได้ว่าดูไปทั้งหมดกี่คัน อันนี้ของฟรีใครๆก็ชอบตอนหลังอยากทำเป็นอาชีพเหมือนกันแต่เนื่องจากฟรีมาตั้งแต่ต้นก็เลยลำบากใจสุดท้ายก็ดูให้เฉพาะที่ขับมาให้ดูที่บ้านเท่านั้น (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy



- เมื่อผมเดินทางไปถึงสถานที่ที่รถคันที่เขาจะให้ดูให้จอดอยู่ผมก็จะเริ่มดูจากสภาพภายนอกก่อนโดยเคาะตัวถังรอบๆรถว่าเป็นเสียงของเหล็ก(เสียงแก๊งๆใสๆ)หรือว่าเป็นเสียงทึบๆ(ปุ๊คๆ)ของสีโป๊วถ้าเป็นจุดที่ไม่สำคัญและบริเวณไม่กว้างเช่นแก้ม ด้านข้าง ด้านท้ายหรือประตูก็ถือว่ายังยอมรับได้(อันนี้เป็นเรื่องปกติการที่จะไม่เฉี่ยวไม่ชนเลยเป็นไปได้ยากมาก)แต่ถ้าเจอด้านข้างหรือด้านหน้าเป็นหรือด้านท้ายหรือหลังคาที่เป็นบริเวณกว้างผมก็จะไม่สนใจรถคันนั้นทันที

- ถ้ายอมรับได้ก็จะมาดูเรื่องสีรถว่ามีสภาพเรียบร้อยแค่ไหน ชนิดของสีที่ใช้ที่ใช้ต่างกันหรือไม่(สีธรรมดา-ลูไซด์-สีเกร็ด)มีตรงไหนที่พื้นสีเข้ม-ซีดแตกต่างกันโดยจะเน้นไปที่สีของฝากระโปรงเทียบกับแก้มทั้งสองข้างถ้าสีไม่เหมือนกันแสดงว่ามีการทำสีมา(อาจจะจากการชนหรือไม่ก็ได้)จากนั้นจะนำทั้งหมดไปเทียบกับหลังคาและฝาท้ายแต่จะเน้นที่หลังคาเพราะ ถ้าหลังคาถูกทำสีที่เกิดจากการชนคือการชนที่รุนแรงมากหรือคว่ำมาไม่น่าคบแน่ๆอันนี้จะดูที่ขอบยางของกระจกหน้าและกระจกหลังถ้าทำสีมาสีจะแตกตรงมุมขอบให้เห็น ดูความสม่ำเสมอของขอบประตูด้านบน-ล่างว่ามีเอียงหรือบิดหรือต่ำๆสูงๆหรือไม่ทั้งสี่บานถ้าพบตรงจุดนี้ก็จะหยุดเช่นกันยิ่งถ้าเจอประเภทสาดสีมาทั้งคันผมจะไม่สนใจรถคันนั้นเลย

- ถ้าผ่านจุดนี้ผมก็จะเปิดดูที่ห้องโดยสารผมจะเปิดพื้นให้ถึงพรมชั้นล่างสุดโดยเฉพาะตรงที่พักเท้าด้าหน้าทั้งสองข้าง(ข้างหลังไม่เน้นมาก)และจะดมดูจะต้องไม่มีกลิ่นอับของความชื้นเหมือนซักผ้าตากไว้ในร่มเพราถ้ามีเป็นไปได้ว่าระบบแอร์รั่ว-มีการผุของเหล็กที่ผนังกั้นห้องโดยสารกับห้องเครื่อง-มีการรื้อหรือยกเครื่องออกจากตัวรถแล้วประกอบไม่ดีจนมีน้ำรั่วเข้ามาได้(อาจจะซ่อมหรือชนมา)เชื่อไหมบางคันเจอน้ำใต้พรมเลยก็มี ถ้าเจอก็หยุดเช่นกันอันนี้ไม่มีข้อแม้

- ถ้าผ่านก็จะดูขอบกระจกหน้า(ดูจากข้างใน)อาจจะต้องถอดขอบออกถ้าเป็นกระจกจากโรงงานจะต้องไม่มีเศษซิลิโคนให้เห็นและขอบทุกด้านต้องแนบสนิท(ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆจะดูที่ยี่ห้อทุกบานต้องยี่ห้อเดียวกัน)ถ้ามีเศษซิลิโคนหรือกระจกแนบข้างแต่อีกข้างโด่งอันนี้ก็แสดงว่าเคยเปลี่ยนกระจกหน้ามา(ไม่ว่าด้วยเหตูใดก็ตาม)ผมก็จะหยุดเช่นกัน

- ถ้าผ่านก็ดูต่อคราวนี้ก็บิดสวิทช์กุญแจดูสัญญานเตือนต่างๆต้องติดครบแล้วก็สตาร์ทเครื่องดูสัญญานเตือนทุกตัวต้องทำงานตามปกติถ้าไม่ก็ดูอีกทีว่ารับได้หรือเปล่า(เช่นรูปแบตเตอรี่อาจเป็นไปได้ถ้ารถจอดนานจนแบตหมดก็จะเก็บความสงสัยไว้ก่อน)จากนั้นก็จะเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีในรถทั้งหมดตัวไหนทำงานไม่ทำงานก็จำไว้และจะค้างไฟหน้าไว้ที่ไฟสูงเปิดแอร์แรงสุด แล้วค่อยเปิดกระโปรงหน้า (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

- มาดูที่ห้องเครื่องในส่วนนี้ค่อนข้างเน้นมากถ้าเจอตรงไหนจะหยุดทันทีอันแรกก็เปิดฝาหม้อน้ำทิ้งไว้(บางรุ่นไม่มีก็เปิดที่พักน้ำแทน)จากนั้นก็เริ่มฟังเสียงและใช้มือกับที่ตัวเครื่องดูการสั่นเสทือนที่จะบอกถึงความเรียบของเคื่องยนต์ในรอบเดินเบาต้องไม่มีการกระตุก การสั่นต้องต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ(ไม่ใช่สั่นบ้างหยุดบ้าง) ฟังเสียงสายพาน-ลูกรอก-พัดลมต้องไม่ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวเกินพอดี ดูขอบห้องเครื่องด้านหน้า-ซ้าย-ขวาต้องมีร่องรอยของจุดสป็อตของการอาร์คไฟฟ้าที่ใช้ในการประกอบ(เป็นหลุมที่มีระยะห่างเท่าๆกันถ้ามีการชนสีโป๊วจะอุดรอยพวกนี้เป็นเรียบหมด) (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

- จากนั้นก็จะดูชุดโคมไฟหน้าว่าเรียบเสมอกับกับไฟเลี้ยวหรือเปล่ามีการปรับเอียงไว้หรือไม่ถ้าเอียงก็ปรับให้ตรงและเสมอเป็นปกติซะแล้วเดินไปด้านหน้าห่างจากรถประมาณ 10-15เมตรแล้วหันมาดูไฟหน้ารถ(ที่ผมเปิดทิ้งไว้ที่ไฟสูง)สังเกตุไฟทั้งสองข้างจะต้องมีความสูงที่ใกล้เคียงกันถ้าสูงข้างต่ำข้าง(อันนี้ก็เหมือนตอนกลางคืนที่บางครั้งเราขับสวนคันอื่นไฟข้างนึงสูงอีกข้างนึงต่ำ)แต่ผมได้ปรับโคมให้เสมอกันแล้วอันนี้ร้อยทั้งร้อยบอกได้เลยชนด้านหน้าหรือเฉียงๆข้างใดข้างหนึ่งมาหลีกให้ห่าง (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

- ถ้าผ่านก็กลับมาที่รถดึงสายคันเร่งๆเครื่องดูว่าเร่งดีหรือไม่ต้องไม่มีสดุดหรือสำรักน้ำมันและเสียงแขกของวาล์ว(แก๊กๆ)ต้องไม่ดังจนน่าเกลียด ตอนนี้เครื่องร้อนแล้วก็จะมาดูน้ำหม้อน้ำหรือหม้อพัก(ที่เปิดฝาทิ้งไว้แต่ทีแรก)การไหลวนต้องไม่มีฟองอากาศ(ยิ่งเร่งเครื่องฟองยิ่งใหญ่ขึ้น)ถ้ามีแสดงว่าเครื่องเคยโอเวอร์ฮีตมาจนฝาสูบโก่งไม่ควรคบ ถ้าผ่านก็จะก้มดูด้านล่างว่ามีน้ำแอร์หยดอย่างสม่ำเสมอดี(ถ้าไม่มีหยดเลยก็ไม่เอา)และต้องไม่มีอย่างอื่นหยดนอกจากน้ำแอร์จากนั้นก็ไปปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดไว้แล้วดับเครื่องที่สำคัญคือระหว่างที่เช็คอยู่ถ้าคนขายไปดับเครื่องผมก็จะไม่ดูต่อเช่นกัน(แสดงว่าต้องการปกปิดบางอย่าง)แล้วก็มาดูรอยรั่วของน้ำตามท่อน้ำหรือน้ำมันในระบบว่ามีใหม่ๆออกมาตรงไหนบ้าง(อันนี้พอรับได้บ้างแต่เก็บข้อมูลไว้)ดูตามจุดประกบต่างๆเช่นฝาครอบวาล์ว-เครื่อง-หัวเกียร์ว่ามีร่องรอยของสารซีลป้องกันรั่วหรืไม่(สีส้มหรือสีขาว)ถ้ามีก็แสดงว่าจุดนั้นๆมีการถอดซ่อมมาแล้ว(เก็บเป็นข้อมูลไว้)รอซักพักแล้วก็มุดดูพวกลูกยางกันฝุ่น-กันโคลง-ยางหุ้มเร็คพวงมาลัยว่ามีจุดไหนชำรุดเสียหายหรือจาระบีรั่วหมดบ้าง(พอรับได้ก็เก็บข้อมูลไว้)จากนั้นก็ปิดฝาหม้อน้ำหรือหม้อพักเช็คระดับของเหลวทุกอย่างเช็คการยุบตัวของโช้คต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไปและต้องไม่มีเสียงกระทบกันของเหล็ก(เก็บข้อมูลไว้) จากนั้นก็ทดลองขับ(ถ้าไม่ให้ลองขับก็หยุดเช่นกัน)ดูความสม่ำเสมอของอัตราเร่งต้องไม่กระตุก รอบเครื่องกับความเร็วต้องสัมพันธ์กันไม่ใช่รอบสูงแล้วแต่รถไม่วิ่งก็ใช้ไม่ได้ พยามหาถนนที่โล่งอัดและลากเกียร์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือต้องไม่มีการสดุดของเครื่องเลยและการสับเปลี่ยนเกียร์(ธรรมดา)จะต้องลื่นเข้าง่ายไม่มีเสียงโครกครากให้ได้ยินอันหมายถึงความเสื่อมสภาพของครัทช์หรือครัทช์ที่เคยไหม้มาก่อน จากนั้นก็รักษาความเร็วไว้ที่100-120แล้วเบรคแรงๆที่ดีต้องไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าด-อาการปัด-พวงมาลัยสั่น-รถสั่นทั้งคันต้องไม่มีให้เห็นถ้าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรพอรับได้(เก็บข้อมูลไว้) ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็จะเบรคจนรถหยุดเลยเครื่องต้องไม่ดับด้วยจากนั้นผมก็จะเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันหาที่โล่งหมุนพวงมาลัยซ้าย-ขวาสุด(ทีละด้าน)แล้วเร่งเครื่องออกตัวแรงๆต้องไม่มีเสียงก๊อกๆแก๊กๆของเพลาหรือลูกหมาก(ถ้ามีก็เก็บข้อมูลไว้) (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
ตลอกเวลาที่ลองขับที่หน้าปัดต้องไม่มีสัญญานอะไรกระพริบขึ้นมาและเกร์ความร้อนต้องนิ่งประมาณกลางๆ(หรือที่ใดที่หนึ่ง)โดยไม่เลื่อนขึ้นลงจึงจะถือว่าเยี่ยม เมื่อออกจากปั๊มมาก็จะมองหาหมู่บ้านจัดสรรเจอปุ๊บก็เลี้ยวเข้าไปเลยหาช่องที่มีเนินปูนต์กันรถวิ่งเร็วหรือแมงกะไซค์แล้วจะอัดประมาณ60ลุยทดสอบช่วงล่างซัก2-3จุดเพื่อทดสอบช่วงล่างจะต้องไม่มีเสียงดังของเหล็กกระทบกันให้ได้ยินแต่ถ้าเป็นเสียงทึบๆของโช้คหรือสปริงก็ปกติ ในระหว่างการทดลองขับ(ผมจะไปกับผู้ขายเท่านั้นให้ผู้ซื้อคอยที่เต็นท์หรือที่บ้านของผู้ขาย)ถ้ามีการเสนอเงินให้ผมเพื่อให้เชียร์รถของเขาจนขายได้(เพราะเขาคิดว่าผมเป็นพวกรับจ้างดูรถทั่วๆไป)ผมก็จะเลิกสนใจรถคันนั้นทันทีเช่นกัน(เคยมีเสนอให้ต่ำสุด5พันและสูงสุด2หมื่น) จากนั้นก็เอารถไปคืนแล้วลงจากรถมาดูสภาพของยางว่าจะยังสามารถใช้งานต่อไปได้มากน้อยเพียงใด(เพื่อเป็นข้อมูล)ถ้ายางมีกลิ่นเหม็นไหม้หนือสึกแบบดำอย่างเห็นได้ชัดและกดดูที่ดอกแข็งๆ(ทั้งที่ยังร้อนอยู่)แสดงว่าหมดสภาพเพราะถึงแม้จะไปเซาะร่องยางมาการวิ่งดังกล่าวจะแสดงผลทันที จากนั้นก็กลับออกไปดูคันที่สองและที่สามตามลำดับ(บอกว่าขอเวลาคิดก่อนอย่าหลงกลวางเงินมัดจำโดยเด็ดขาดขายได้ก็ให้เขาขายไป)เมื่อครบแล้วก็กลับบ้าน(อันนี้ผมกลับจริงๆนะครับ)แล้วก็มาสรุปให้ผู้ซื้อฟังว่าแต่ละคันเป็นอย่างไร ซื้อมาต้องซ่อมอะไร ใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่คันไหนน่าสนใจที่สุดตามลำดับหนึ่งสองสามแล้วให้ผู้ซื้อไปตัดสินใจและไปต่อรองราคากันเอาเองผมไม่เกี่ยว(แต่ทุกคันที่ผมไปดูให้ผมรับประกันซ่อมให้ด้วยตลอดอายุการใช้งานและผมจะให้เครดิตกับเต็นท์ที่มีการรับประกันหลังการขายเป็นลายลักษณ์อักษรสูงกว่าเต็นท์ทั่วๆไป) และขอย้ำว่าการดูรถบ้านสำหรับผมจะใช้วิธีการโทรถามสถานที่หรือเลขที่บ้านก่อนแต่จะนัดดูรถในอีก5-7วันหรืออาจจะยังไม่นัดเลยจากนั้นผมจะไปหาบ้านหรือสถานที่ดังกล่าวจนเจอแล้วจะซุ่มดูอยู่1-2วันต้องขับตามดูการใช้งานและสภาพที่พอดูได้จากระยะไกลด้วยผมจะเลือกเฉพาะรถที่มีการใช้งานอยู่เท่านั้น ถ้าเจอแบบคลุมผ้าหรือจอดทิ้งไว้ก็ไม่เอาครับหรือบางทีขับตามไปเจอเลี้ยวเข้าอู่อันนี้ก็ไม่เอา หาบ้านไม่เจอก็ไม่เอา นัดนอกสถานที่ก็ไม่เอา ยิ่งเป็นเบอร์บ้านยิ่งเช็คง่ายถาม 13(เดี๋ยวนี้เป็น 1133 แล้ว)ถามหาชื่อเจ้าของบ้านของเบอร์นั้นๆว่าตรงกับเจ้าของรถหรือไม่บางทีก็ไม่ตรงกันก็ไม่เอา(อาจจะมีเต็นท์มาเช่าหน้าบ้านขาย) ดังนั้นการดูรถบ้านสำหรับผมแล้วจะยากกว่าการดูรถเต็นท์ครับเพราะดูได้แค่อาทิตย์ละไม่เกิน 2 คันทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงคร่าวๆ(แค่นี้ก็ยาวมากแล้ว)ยังมีรายละเอียดปรีกย่อยอีกมากพอดูเหมือนกันครับแต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ขอย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นกฏที่ผมสร้างขึ้นมาเองอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ครับไม่จำเป็นต้องเชื่อครับเพราะ ปล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ


การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม(ตอน2)

ขอใช้ชื่อตอนนี้ว่า...?ป้องกันตัวยังไงไม่ให้โดนหลอก?.....

ที่มา

เรื่องนี้โดยส่วนตัวแล้วเป็นเรื่องที่ดีและดีกว่าตอนแรกเสียอีก แต่มันออกจะหมิ่นเหม่มากไปหน่อย แม้ผมจะเคยทำลักษณะนี้มาก่อนตั้งแต่การเริ่มต้นหรือดูรถยังไม่เป็นเท่าไหร่แต่กาลเวลาก็ทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปเพราะตรงนี้มันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวในการเลือกซื้อรถมือสองจริงๆที่ลดโอกาสเสี่ยงได้มากที่สุด และไม่เกี่ยวข้องกับใครหรือกลุ่มผู้ประกอบการณ์ใดๆทั้งสิ้น

ความจริงแล้วผมพยามสื่อในเรื่องการซื้อรถมือสองไปแล้วทั้งจากบทความหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น...

?การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม?

?ผมก็อยากมีรถ(มือสอง)ซักคัน?

?อาชีพรับจ้างดูรถมือสองไว้ใจได้แค่ไหน?

แต่ก็ยังมีสมาชิกในชมรมคนรักรถบางท่านที่ประสพปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ(บางราย)ที่ขาดคุณธรรมและไร้จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ แม้บทความที่เคยพูดเรื่องการป้องกันจากหลายๆแง่ที่เคยยกมาในบทความที่แล้วๆมาแต่มันก็อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันตัวเอง บางท่านอาจจะมองว่าสิ่งที่ผมเขียนให้อ่านกันนั้นใช้เวลามากเกินไปหรืออาจจะหารถใหม่ได้เลย ซึ่งท่านเหล่านั้นอาจจะไม่เคยเจอปัญหามาก่อนก็เลยยังไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของการถูกเอาเปรียบแบบซึ่งหน้าแถมไม่ผิดกฎหมายด้วยว่ามันเป็นยังไง แต่ถ้าท่านเจอเหตุการณ์ด้วยตนแม้แค่ครั้งหนึ่งครั้งเดียว ท่านอาจจะเข้าใจเรื่องราวหรือสิ่งต่างๆที่ผมเคยพูดเคยย้ำหรือจะรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าถ้าท่านสามารถทำในสิ่งที่ผมได้พูดไปแล้วนั้นได้มันคุ้มค่ากับสิ่งที่แลกมาด้วยความขมขื่น ความเจ็บปวด เงินที่ต้องเสียไป เวลาที่เสียไปในภายหลังจากการซื้อรถมาแล้วนะครับ

มาถึงตรงนี้คงเน้นหลักๆจริงๆแบบปลอดภัยมากที่สุดเพื่อป้องกันตัวเองมากที่สุด โดยเฉพาะท่านที่อาจจะมีทุนไม่มากและไม่ค่อยรู้เรื่องรถมากนัก ขั้นตอนต่างๆที่จะลำดับให้ฟังเป็นขั้นตอนในการเลือกซื้อนะครับไม่ใช่การเลือกรถ ดังนี้ครับ


1. การเลือกเต็นท์

1. ผมจะมองไปที่เต็นท์ที่มีการโฆษณาตามสื่อต่างๆและมีรถคันที่เราเลือกไว้อยู่ในโฆษณานั้นด้วยอย่างน้อย 2สื่อ และในคำที่ลงไว้จะต้องระบุหรือกล่าวไปในทำนองที่ว่า?รถพร้อมใช้?และ/หรือ?รับประกันทุกคัน?และ/หรือ??รับประกันคุณภาพ?และ/หรือ?รับประกันไม่มีคว่ำ?และ/หรือ?รับประกันไม่มีชนหนัก?และ/หรือ?ถ้าพบว่ามีปัญหายินดีคืนเงิน?และ/หรือ?รับประกันที่ระบุหลังการขายเป็นระยะเวลาที่แน่นอนอย่างน้อยที่สุด 7วันเช่นซ่อมฟรี?เพราะข้อความเหล่านี้สามารถเป็นข้อผูกมัดได้ในกรณีที่เกิดปัญหาถือว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงหรือหลอกลวง ถ้าแน่จริงต้องกล้าลงโฆษณาซิ
2. ลงลึกในรายละเอียดกับทางเต็นท์ว่าที่เขารับประกันนั้นมีอะไรบ้างอย่างน้อยสุดภายใน 7 วันถ้ามีปัญหาสามารถเคลมอะไรได้บ้างและทางเต็นท์สามารถออกหนังสือรับรองการรับประกันให้ได้หรือเปล่า ถ้ารถคันนั้นๆดีจริงตามกล่าวอ้างเขาสามารถออกหนังสือรับรองระบุการรับประกันให้ได้ ถ้ามีการบ่ายเบี่ยงแสดงว่าของปลอมครับเพราะแค่ 7วันยังไม่กล้ารับรองแสดงว่ารถคันนั้นๆพร้อมที่จะเกิดปัญหาได้ทุกเวลา

2. การเก็บหลักฐาน โดยเก็บโฆษณาทุกชิ้นที่เกี่ยวข้องกับรถคันที่จะซื้อเท่าที่จะหาได้ที่ระบุตามข้อ 1.1
3. การจ่ายหรือวางเงินจอง

1. หาพยานที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องไปด้วยในการณีที่ต้องเซ็นต์หรือเป็นพยานตามข้อ 1.2
2. จะต้องได้หนังสือรับรองการรับประกันตามข้อ 1.2 ก่อนจ่ายเงิน
3. ขอให้มีการระบุวันที่รับรถหรือการนัดในใบจองหรือใบนัดทำสัญญา
4. ขอให้มีการระบุอย่างชัดเจนว่าวันรับรถจะมีการแก้ไขจุดใดให้บ้างหรือรถจะอยู่ในสภาพใดถ้ามีสิ่งที่ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนยกเว้นที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์(อันนี้พูดไปแล้วในบทความเดิมเรื่องการเลือกรถมืองสองในมุมมองของผมตอนแรกที่กล่าวมาข้างต้น)หรือระบบแอร์เช่น แอร์ไม่เย็นทางเต็นท์มักอ้างว่าน้ำยาหมดวันรับรถจะเติมให้ขอให้สัญนิฐานเลยว่าตู้แอร์รั่วเพราะโอกาสที่น้ำยาแอร์จะรั่วซึมออกจากระบบที่เป็นระบบปิดนั้นเกิดขึ้นน้อยมากค่าซ่อมราว 3พันขึ้นไปและจะมีปัญหาหลังซื้อไปราว 10-45วัน(ตามแต่จะรั่วมากหรือน้อย)และเสียเวลาอีกประมาณ 6-48ชั่วโมง
5. ต่อรองการวางเงินจองให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่น 2-5 พัน(ไม่ควรเกิน 10พัน) ยิ่งมีการเรียกเงินมัดจำสูงเท่าไหร่ยิ่งเป็นการส่อแววความไม่ซื่อสัตย์มากเท่านั้น
6. ตกลงกันก่อนว่าขอถ่ายภาพรถคันที่จะวางเงินมัดจำถ้าไม่ยินยอมก็ยกเลิกไปเลย
7. ทำการถ่ายรูปรถคันนั้นด้วยกล้องธรรมดา(ที่ใช้ฟิล์ม)ทุกซอกทุกมุมให้ละเอียดและทำการล้างอัดทันที(ไม่เกิน 1 วันหลังจากถ่าย)พร้อมเก็บหลักฐานการล้างอัดรูปไว้ด้วยเพื่อเป็นการป้องกันการเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ออกจากตัวรถและเป็นหลักฐานว่าจะมีการซ่อมหรือแก้ไขตามข้อตกลง(อาจจะมีการใช้นิ้วหรือมือชี้ระหว่างถ่ายรูปในจุดที่ตกลงกันว่าจะแก้ไขให้เรียบร้อย)
8. หรือจะจ่ายคนละครึ่งขอให้ระบุลงในใบจองให้เรียบร้อยตกลงกันให้เรียบร้อยว่าค่าใช้จ่ายบางส่วนเช่นค่าโอน ใครจะเป็นคนจ่าย
9. ตรวจเช็คหลักฐานต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดให้เรียบร้อย พร้อมกับให้เอกสารส่วนของเราถ้าเป็นการเช่าซื้อ
10. วางเงินมัดจำและนัดทำสัญญาหรือนัดวันจัดสินเชื่อ

4. ทำสัญญาซื้อ-ขายหรือเช่าซื้อ

1. วันที่ทำสัญญาซื้อ-ขายหรือเช่าซื้อและวันรับรถให้เป็นวันเดียวกันและให้เร็วที่สุดนับจากวันจองวันต่อวันยิ่งดี
2. ตรวจดูให้แน่ชัดว่าคนที่ทำสัญญากับเราเป็นผู้ประกอบการตัวจริง
3. ถ้ามีการไม่ทำตามข้อกำหนดหรือไม่สามารถส่งมอบรถตามกำหนดให้ยกเลิกสัญญาโดยไปแจ้งความนำบันทึกมาขอรับเงินมัดจำคืนถือว่าเป็นการผิดสัญญาในการส่งมอบรถ(ทีเราไม่ไปตามกำหนดเขายังสามารถริบเงินมัดจำของเราได้เลย)
4. ในขั้นตอนการรับ-มอบรถให้ปฎิบัติตามข้อ 3.7คือการถ่ายรูปเพื่อเป็นการยืนยันว่ารถที่เรามาดูอยู่ในสภาพที่ได้ตกลงกันไว้มิได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพโดยที่เราไม่ยินยอมหรือตามสภาพที่ได้ตกลงในวันที่เราจองรถ

5. ถ้ารถเกิดปัญหาในระยะประกันตามที่ระบุการรับประกันจะทำยังไง

1. จอดรถทันที(ถ้าวิ่งไม่ได้)นำหลักฐานที่มีทั้งหมดรวมถึงหนังสือและสื่อที่ระบุการรับประกันไปลงบันทึกประจำวันที่ที่สถานีตำรวจ โดยระบุด้วยว่าจะนำรถกลับไปที่เต็นท์ถ้ารถวิ่งได้หรือจะลากไปกรณีที่วิ่งไม่ได้เพื่อให้ทางเต็นท์รับผิดชอบตามเงื่อนไขรับประกัน
2. หลังลงบันทึกแล้วแจ้งไปที่เต็นท์ว่ารถเกิดปัญหาสอบถามว่าจะช่วยเหลือยังไง
3. ถ้าการติดต่อไปนั้นมีการบ่ายเบี่ยงให้ลากรถ(ในสภาพที่ถูกต้องกรณีที่วิ่งไม่ได้)กลับไปฝากจอดไว้ที่เต็นท์แต่ถ้ารถยังวิ่งได้ก็ขับไปฝากจอดที่เต็นท์และนัดวันมารับรถหลังการซ่อม(((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy
4. ถ้าทางเต็นท์บ่ายเบี่ยงที่จะซ่อมหรือปัดความรับผิดชอบแจ้งความดำเนินคดีทางกฎหมายทันทีอย่ารอช้าและไม่ควรทำแค่ที่เดียวอาจจะร้องผ่านไปยัง ส.ค.บ. หรือผ่านสื่ออีกทางด้วยอย่างน้อยก็เป็นการป้องกันตัวจากอำนาจมืดเพราะสามารถร้องเรียนได้เนื่องจากเราเป็นผู้เสียหายและมีหลักฐานที่จำดำเนินคดีแล้วว่ามีการทำผิดสัญญา-โฆษณาเกินจริงหรือเป็นเท็จ-ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า โดยเรียกร้องความเสียหายทั้งเงินทองและทางจิตใจ-ค่าเสียเวลาเข้าไปด้วย
5. ถ้ามีการเจรจาต่อรองอย่าอ่อนข้ออย่างเด็ดขาด อย่างน้อยควรจบด้วยการเปลี่ยนรถคันที่สภาพดีในราคาที่เท่ากันหรือการคืนเงินหรือยกเลิกสัญญา

............คงคร่าวๆแค่นี้นะครับเพราะความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่อยากจะเขียนถึงเลยเพราะเราหาทางป้องกันทางผู้ประกอบการก็จะรู้ว่าเราจะทำอะไรแต่เมื่อมันเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วก็เลยตัดสินใจเขียนมาให้ศึกษาเป็นแนวทางกันนะครับ...........

............ยังคงย้ำจุดยืนเดิมว่ากรณีที่ผมสงสัย-ลังเล-ไม่แน่ใจผมจะหยุดและไม่ยอมเสี่ยง บางท่านอาจจะมองว่าเป็นการใช้เวลามากเกินไปแต่ถ้ามองว่าเป็นการป้องกันปัญหาที่ตามมาถ้าเจอแค่ครั้งเดียวก็จะรู้ว่าเวลาที่เสียไปก่อนซื้อรถนั้นสุดจะคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเวลาที่จะเสียไปหลังซื้อรถครับ..............

.............หลายๆท่านอาจจะคิดว่ามันคือต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับการซื้อรถเพราะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าขั้นตอนก่อนซื้ออาจจะเสียเงินเพิ่มอีก 5พันถึง 1 หมื่นแต่เมื่อเกิดปัญหาอาจจะเสียหลายหมื่นและเมื่อคิดเป็นค่าที่ต้องมานั่งเป็นทุกข์ยังไงก็คุ้มครับ..............

.............และขอยืนยันอีกครั้งว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มุ่งร้ายใครหรือมีส่วนได้-เสียกับผู้ประกอบการรายใดทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นเพียงเทคนิคส่วนตัวเท่านั้นแม้วันข้างหน้าเมื่อข้อความนี้เผยแพร่ออกไปย่อมมีการระวังและเตรียมตัวเพื่อป้องกันในสิ่งที่พูดไปทั้งหมดก็ตาม แต่กว่าจะถึงวันนั้น...ผู้ที่เข้ามาอ่านข้อความทั้งหมดนี้และนำไปใช้ประโยชน์ทันกาลก่อนที่ผู้ประกอบการจะรู้ตัวน่าจะมีบ้างแม้เพียงแค่คนเดียวก็ถือว่าผมได้ทำในสิ่งมุ่งหวังแล้วตั้งใจแล้วครับ...........


การเลือกรถมือสองในมุมมองของผม(ตอน 3)

ขอใช้ชื่อตอนนี้ว่า..?ซื้อรถมือสองที่อายุรถกี่ปีคุ้มค่าที่สุด?....

เคยมีถามกันมาบ่อยๆทั้งทางเมล์และในชมรมคนรักรถว่าซื้อรถมือสองที่อายุรถกี่ปีดีหรืออายุรถกี่ปีที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งถ้าเป็นคำถามในชมรมคนรักรถก็จะออกแนวกว้างๆแต่ถ้าถามกันมาทางเมล์จะเน้นที่ความคิดเห็นและทัศนะส่วนตัวของผมเป็นหลัก ความจริงแล้วเรื่องนี้ผมร่างไว้นานแล้วและคิดจะนำเสนอมาเหมือนกัน แต่เกรงเรื่องผลกระทบที่จะตามมาก็เลยไม่มีโอกาสเรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราวเสียที จนระยะหลังๆมาที่นำมาตอบคำถามทางเมล์กลับได้รับการตอบรับที่ดีจึงคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากกว่าหรือแม้จะส่งผลบ้างก็ไม่น่าจะรุนแรงอะไรเพราะยังไงมันก็เป็นเพียงแนวคิดและมุมมองของคนๆนึงเท่านั้น ไม่น่าจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆได้

แม้รถใหม่จะเป็นสุดยอดปรารถนาของคนส่วนใหญ่ และรถมือสองก็เป็นที่ต้องการของคนที่อาจจะกำลังไม่พอที่จะเล่นรถใหม่ที่อาจจะรอจนราคามันร่วงลงมากหรือราคาต่ำกว่าครึ่งลงมาแล้วซึ่งตรงนั้นอายุรถมันอาจจะมากแล้วหรือเริ่มเข้าสู่ระยะซ่อมแบบเต็มตัวแล้ว แต่มีจุดกึ่งกลางระหว่างนั้นของการเป็นรถเก่าที่ยังมีกลิ่นไอของรถใหม่อยู่ แถมราคาก็น่าสนใจมากบวกกับยังได้ความสบายใจในการใช้งานอีกระยะหนึ่งด้วย (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))) ----กันcopy

โดยส่วนตัวแล้วถ้าไม่ยึดติดกับค่านิยมป้ายแดง และอยากได้รถดีๆใช้งานในสภาพใหม่ราคาคุ้มค่าน่าลงทุนแลกกับความสบายใจผมเห็นว่าจุดน่าสนใจที่สุดอยู่ที่รถมือสองอายุ 2-3 ปีหรือสุกงอมเต็มที่คืออายุรถปีที่ 3ครับ สาเหตุเพราะอะไรหรือทำไมผมจึงพูดเช่นนี้ก็ลองมาฟังเหตุผลกันดูนะครับว่า.......


1. รถอายุ 1-2 ปีราคาจะตกก็จริงแต่จะยังเปลี่ยนแปลงและแปรผันตลอดเวลาเพราะตัวใหม่ราคาจะสูงขึ้น ตัวเก่าราคาก็จะตกน้อย หรือถ้าเปลี่ยนรุ่น-โฉมไปราคาก็จะตกมาก แถมรถที่ขายๆบางคันสภาพสวยไม่แพ้รถใหม่ป้ายแดงจึงโก่งราคาขึ้นไปอีก ซึ่งส่วนใหญ่ช่วง 1-2 ปีแรกราคาจะตกแกว่งอยู่ที่ 80-90%จากราคารถใหม่ ยิ่งเป็นรถยอดนิยมที่ยอดขายสูงราคาก็จะแกว่งอยู่ช่วง 85-95%เลยทีเดียว
2. รถอายุ 2-3 ปีราคาจะตกลงอีกก็จริงแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับปีที่ 1-2เพราะจะเป็นการตกลงในด้านของราคาแค่ราว 5000-20000เท่านั้นเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นเทียบกับราคารถใหม่แล้วก็ยังจัดว่าราคายังอยู่ในช่วงเดียวกันกับรถปีที่ 1-2คือช่วง 80-90%จากราคารถใหม่เพราะถ้ามองรายละเอียดดีๆมันเหมือนว่าจะมีการลดเยอะแต่จริงๆเป็นการเพิ่มราคาขึ้นไปแล้วขีดฆ่าหรือมาร์คใหม่ว่าราคาพิเศษจากราคาปกติก็เลยดูเหมือนว่าจะลดลง 2-5หมื่นทั้งที่ความจริงอาจจะแค่ 5000 เท่านั้น ระยะนี้เป็นระยะที่มีการดูท่าทีของผู้ซื้อว่ารถจะปรับเปลี่ยนโฉมบ้างหรือเปล่าเพราะมีบ่อยครั้งที่จะมีการปรับปรุงโฉมหลังจากเปิดตัวไปแล้วราว 2 ปีและจะเปิดจำหน่ายราวปลายปีที่สองหลังจากโฉมเดิม ทำให้จำนวนผู้ซื้อรถช่วงนี้มีน้อยเพราะส่วนมากจะรอดูว่าราคาจะตกอีกหรือเปล่าถ้ามีโฉมใหม่ออกมา ขณะเดียวกันผู้ขายที่เปลี่ยนรถบ่อยๆมักเทขายออกมาช่วงนี้เนื่องจากราคาค่อนข้างทรงตัว
3. พอขึ้นปีที่ 3 ราคารถที่ทรงตัวอยู่จะเริ่มลดลงต่ำกว่า 80%จากราคารถใหม่และมีการอ่อนตัวลงต่ำสุดถึง 60%จากราคารถใหม่เนื่องจากปริมาณที่ปล่อยออกมาจากปีที่ 1-2-3 และผลจากการรอดูท่าทีของผู้ซื้อพอมาถึงปีที่3 จำนวนรถที่ขายจึงมีมาก ตลอดจนรถที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ที่ยังโก่งราคาไว้ต้องลดราคาลงมาสู้เพราะดอกเบี้ยเริ่มทบต้นแล้วยิ่งมาเจอกับจำนวนรถที่มีมากๆการแข่งขันที่เกิดขึ้นของผู้ประกอบการณ์จึงมีสูง ในช่วงปีที่ 3 จึงเป็นปีทองที่มีช่วงของราคาห่างกันมากช่วง 60-80%จากราคารถใหม่และไม่กระโดดเกิน 80%อีกแล้ว ตัวเลือกก็มาก-จำนวนรถก็มาก กำลังการต่อรองของผู้ซื้อจึงมีสูงที่สุดในปีนี้
4. ในปีที่ 4 และปีที่ 5 ราคารถจะเริ่มตกลงน้อยแค่ 10-20%เหมือนปีที่ 1และ ปีที่ 2 ยิง่เป็นรถตลาดยอดนิยมราคาอาจจะตกลงเต็มที่ก็แค่ราว 5-10%เท่านั้นและโอกาสที่จะมีการแหกตาปรับราคาขึ้นเพื่อนำมาจัดรายการลดราคาลงก็เกิดขึ้นมากทำให้ราคาที่ลดลงจริงๆอาจจะน้อยกว่า 5%ด้วยซ้ำ ขณะที่รถในปีที่ 3นั้นโอกาสที่ราคาจะตกมีมากถึง 20-40% อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะรถรุ่นใหม่ที่ออกมาภายในปีที่ 2 จะเปลี่ยนโฉมกันทั้งนั้นราคารถในปีที่ 3 จึงชลอตัวเพื่อดูแนวโน้มของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของรถคนที่จะขายก็จะต้องรีบขายเพราะกลัวราคาจะตก คนที่จะซื้อก็รอดูรุ่นใหม่ๆเป็นช่วงกั๊กๆพอดีที่รถใหม่กำลังคลอด-รถเก่าล้นตลาดหรือมีมากกว่าความต้องการ
5. รถแค่ 3 ปีเป็นรถที่อุปกรณ์ต่างๆเข้าที่ดีแล้วและเป็นช่วงที่สมบูรณ์สุดขีดก็ว่าได้ซื้อมาถ่ายของเหลวก็อัดได้เลยไม่ต้องไปคอยห่วงเรื่องการรัน-อินหรือถ้ามีข้อบกพร่องเช่นการรั่วต่างๆของน้ำมันก็สามารถเห็นได้เลยว่าผิดปกติซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้น ถ้ามันมีการรั่วซึมในเบื้องต้นเราจึงบอกได้เลยว่ารถคันนั้นมีปัญหาหรือเปล่า และเมื่อพบปัญหาก็สามารถมองหาคันใหม่ได้ง่ายเพราะตัวเลือกมีเยอะนั่นเอง
6. รถส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะประกันหรือพึ่งจะหมดประกันสามารถตรวจเช็คได้ง่ายว่าเจ้าของเดิมผ่านอะไรมาบ้าง ดูแลรถเป็นยังไง กอปรกับตัวเลือกก็มากเราจึงสามารถเป็นผู้กำหนดสิ่งที่เราต้องการได้เช่นเอารถที่วิ่งไม่เกิน 5หมื่นโล-ไม่เคยมีประวัติเคลมประกันหรือมีน้อยเป็นต้น
7. อายุรถส่วนใหญ่จะเริ่มซ่อมราวปีที่ 5-6 ดังนั้นเราสามารถใช้รถได้เหมือนใหม่โดยไม่ต้องทำอะไรราว 2-3ปี ถ้าเทียบกับตอนที่เป็นป้ายแดงเจ้าของเดิมต้องจ่ายเงิน 100%เพื่อซื้อรถมาใช้งาน 2-3 ปีแล้วขายรถขาดทุนไปราว 20-40% หรือมองในทางกลับกันถ้าเรามาซื้อปีที่ 3 เราก็จะจ่ายแค่ 60-80%ของราคารถใหม่เพื่อใช้งาน 2-3 ปีเช่นกันเพียงแต่มันไม่มีป้ายแดงปะหน้าแค่นั้นเอง
8. ถ้าซื้อป้ายแดงมาขายในปีที่ 2-3ก็จะขาดทุนราว 10-20%สำหรับรถยอดนิยมและอาจจะสูงถึง 20-40%สำหรับรถทั่วๆไป ถ้าซื้อรถยอดนิยมปีที่ 3 แล้วไปขายปีที่ 5-6 ก็จะขาดทุนราว 10-30%ซึ่งถ้ามองตรงนี้จะเหมือนว่าซื้อปีที่ 3 ขาดทุนมากกว่าแต่ถ้าไปมองตรงเม็ดเงินที่ต้องจ่ายตอนซื้อจะพบว่าเม็ดเงินที่ได้จากการขาย แล้วเอาส่วนต่างมาติดดอกเบี้ยซัก 2-3ปีอันนี้ถ้าคิดลงลึกเข้าไปก็จะเหลือขาดทุนจริงแค่ 5-15%เท่านั้นซึ่งถูกกว่าป้ายแดงอีกครับในคุณภาพที่ใกล้เคียงกันแต่ไม่เท่ห์เท่านั้น ยิ่งเป็นรถทั้วๆไปยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นว่าขาดทุนน้อยกว่าหรือเต็มที่ก็เท่าๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือจำนวนเงินที่ซื้อรถครั้งแรกเพราะการซื้อป้ายแดงต้องลงทุน 100% แต่ซื้อมือสองปีที่ 3 ลงทุนแค่ 60-80%เท่านั้น.

..............คงคร่าวๆเท่านี้นะครับ ยังไงลองๆดูเพิ่มเติมจากข้อมูลที่คุณหรือฐานข้อมูลอื่นๆด้านราคาที่ซื้อ-ขายกันจริงๆที่มีอยู่มากมายตามสื่อต่างๆแล้วลองมานั่งวิเคราะห์ด้วยตัวคุณเองจะดีกว่าว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า โปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการพิจารณาจากข้อมูลจริงทั้งหมดที่คุณมีอยู่ก่อนตัดสินใจครับ..........

..............ความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไปของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันเพราะบางท่านก็อาจจะมองว่าการแลกป้ายแดงมานั้นคือความคุ้มค่าแล้ว ส่วนมุมมองตรงนี้คือการใช้งานจริงอย่างสบายใจไร้ปัญหากับการลงทุนที่ต่ำกว่าโดยตัดเรื่องค่านิยมของป้ายแดงออกไปครับ............. (((อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ))
วันที่: 04 Apr 10 - 01:02

 ความคิดเห็นที่: 6 / 10 : 568201
โดย: อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ
ท่านที่สนใจจะดูรถมือสอง แล้วไม่มีคนช่วยดู หรือกลัวถูกย้อมแมว บางคัน Body สวย แต่เครื่องยนต์แย่ จะทำอย่างไง จะออกรถมือสองทั้งคันแล้วกลัวจะถูกหลอก จะป้องกันอย่างไร จากการโดนหลอก การเอารัดเอาเปรียบจากเต้นท์รถมือสอง ค่าจัดคืออะไร รถชนหนักดูอย่างไร ทุกคำถามทุกปัญหามีคำตอบที่ชัดเจน โดยช่างอาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ (ช่างบอส-อ๊อด) ตรวจสอบรถและบอกตรงๆ ไม่ว่าจะชนหนัก-เบาเราบอกหมด วิเคราะห์ปัญหาเครื่องยนต์ชัดเจน ตรวจสอบช่วงล่าง อะไรควรเปลี่ยนไม่ควรเปลี่ยน วิธี Setup รถยนต์ที่จะซื้อ ให้เป็นเสมือนรถใหม่ป้ายแดงควรทำอย่างไร ติดต่อได้ที่เบอร์ 085-325-2353 ครับ หากต้องการใช้บริการวันเสาร์-อาทิตย์ (กรุณาติดต่อสอบถามมาก่อน)
วันที่: 03 Jun 10 - 23:11

 ความคิดเห็นที่: 7 / 10 : 604479
โดย: อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัต
คลิปสอนดูรถมือสองครับ
http://www.youtube.com/watch?v=yQr4TZkRpSk

By อาจณรงค์ เศรษฐีสมบัติ
วันที่: 14 Nov 10 - 20:02

 ความคิดเห็นที่: 8 / 10 : 604532
โดย: อาจณรงค์
วันที่: 14 Nov 10 - 23:30

 ความคิดเห็นที่: 9 / 10 : 604536
โดย: บอมบ์
วันที่: 14 Nov 10 - 23:38

 ความคิดเห็นที่: 10 / 10 : 657731
โดย: อาจณรงค์
ติดตามผลงานของผมได้ทั่วประเทศแล้วครับ ในรายการ USED CAR ทางช่อง Grand Prix Channel อาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่ก็ยังยึดมั่นคุณธรรม
วันที่: 15 Jul 11 - 00:50