โดย: บอย ครถม
|
|
ความต้องการของตัวเราคืออะไร
อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ตอบตั้งโจทย์ไว้ในใจให้ได้ก่อนว่าต้องการอะไร เพราะถ้าไม่กำหนดโจทย์หรือเป้าหมายเอาไว้ โอกาสที่จะ "ไม่จบ" และ "งบบานปลาย" มีสูงมากครับ สิ่งที่ควรจะต้องกำหนดไว้ก็คือ
1. จะเอาเครื่องเสียงแบบไหน - ฟังเพลงอย่างเดียว, ดูหนังเป็นหลัก ฟังเพลงเรื่องรอง , หรือระบบเอนกประสงค์
2. ถ้าเล่นแบบไหน ถ้าฟังเพลงก็เช่น Audiophile , เพลงตลาดๆ ธรรมดาทั่วๆ ไป , MP3, IPOD ฯลฯ หรือถ้าจะดูหนัง จะเอาแนวไหน DVD 5.1, VCD หรือเอาไว้ดูละครช่อง 7
3. สำหรับการฟังเพลง ชอบแนวเพลงแบบไหน POP, JAZZ, ROCK, HIPHOP อุปกรณ์แต่ละรุ่นตอบสนองต่อแนวเพลงไม่เหมือนกัน
4. จะเอาแบบทีเดียวจบ หรือว่าค่อยๆ ปรับปรุงไปเรื่อยๆ ทีเดียวจบ ก็เลือกหาอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วนไปเลยทีเดียว ในกรณีที่งบประมาณจำกัด ก็อาจจะต้องใช้อุปกรณ์เกรดธรรมดาๆ แต่สำหรับท่านที่เล่นแบบค่อยๆ ปรับปรุงไปเรื่อยๆ ในตอนแรกอาจจะใช้ระบบเล็กๆ ไปก่อน แต่เน้นซื้ออุปกรณ์ที่เกรดดีๆ หรือรุ่นสูงๆ เช่น front รุ่น top กับลำโพงแยกชิ้นรุ่นสูงๆ หน่อยแล้วใช้ hipower ขับไปก่อน แล้วค่อยซื้อ poweramp มาปรับปรุงเพิ่มเติม เป็นต้น
5. งบประมาณเท่าไร อันนี้สำคัญ สำหรับกลุ่มที่เลือกแบบทีเดียวจบ อาจจะต้องคุมให้ดีหน่อย แต่สำหรับกลุ่มที่ค่อยๆ ปรับปรุงไปเรือยๆ ก็คงแล้วแต่ศักยภาพในการ "เม้ม" ล่ะครับ
รูปแบบการฟัง
ที่นิยมๆ กันก็จะมี
1. Front stage (rear fill) เป็นการจัดรูปแบบเสียงให้เวทีของเสียงอยู่ด้านหน้าคนฟัง เปรียบได้กับการนั่งหันหน้าฟังเพลง โดยอาจจะมีเฉพาะด้านหน้าอย่างเดียว หรืออาจจะมีเสียงด้านหลังเสริม (เบาๆ ) ด้วยก็ได้
2. Rear stage (front fill) เป็นการจัดรูปแบบเสียงให้เวทีของเสียงอยู่ด้านหลังคนฟัง เนื่องด้วยข้อจำกัดในการติดตั้งลำโพงในรถยนต์ซึ่งมักจะมีพื้นที่ในการติดตั้งหลักๆ อยู่ที่บริเวณแผงหลังรถ ซึ่งสามารถติดตั้งลำโพงขนาดใหญ่ รวมทั้งมีพื้นที่ในกระโปรงหลังเป็นตู้ ทำให้สามารถทำให้มีคุณภาพเสียงที่ดีได้ง่ายกว่าการติดตั้งที่ด้านหน้า
3. Surround อันนี้จะเป็นระบบหลักของการดูหนัง โดยจะมีลำโพงอยู่ล้อมรอบตัวผู้ฟัง ลำโพงแต่ละชุดจะเปล่งเสียงออกมาในระดับใกล้เคียงกัน ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่กลางวงดนตรี
|