จะเริ่มอย่างไรดีหว่า.......
เรื่องเล่าต่อไปนี้อาจจะยาวซักหน่อย เป็นประสบการณ์+ความโง่ และ ค่าโง่ ของการแต่งเครื่องเสียง (DIY CaR AuDio แปลเป็นไทยว่า คันนี้ตูทำเอง)
เนื่องจากผมเป็น Sales ชีวิตส่วนใหญ่ อาศัยอยู่บนรถ จึงทำให้ผมสนใจที่จะแต่งเครื่องเสียงเป็นอันดับแรกๆ เพราะ ของเดิมๆที่ติดมากับรถ นั้น เสียงมันไม่เข้าท่าเท่าไหร่
จุดเริ่มต้นของการแต่งเครื่องเสียงของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดย
- ลำดับแรกก็ต้องหาฟร๊อน ราคาไม่แพงมากนักซึ่งที่มาของฟร๊อนได้มาจากบ้านหม้อ ครับ เพราะบ้านหม้อเป็นแหล่งรวมเครื่องเสียงต่างๆนานา และก็ไปได้ฟร๊อนของ Apine 9873 ราคาตอนนั้นซื้อมาที่ 5,600บาท+รีโมท(แถม) เป็นฟร๊อนรุ่นใหม่ของค่ายนี้ และมีปรีเอ้าท์ 2 ชุด เพราะตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะติดซับ จึงต้องการฟร๊อนที่มีปรีเอาท์ 2 ชุดเป็นอย่างน้อย
***ตอนไปซื้อฟร๊อนตัวนี้ได้ลองฟังเทียบกับ Clarion 566 USB เสียง Clarion ดีกว่า แต่ทำไมผมถึงซื้อ ALpine หนะหรอครับเพราะว่ามัน หล่อกว่าหนะครับ(โง่อันดับที่ 1)
- ลำดับต่อมาก็หาซื้อลำโพงแยกชิ้นดีๆ ซักคู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้ในรถตาตี่ผมก็ใช้ลำโพงของ Prism CS 668 อยู่ แต่ก็ด้วยความเบื่อจึงอยากหาลำโพงยี่ห้ออื่นดูบ้าง จึงพยายามหาความรู้ ตั้งกระทู้ถามบ้าง และก็มาจบลง ที่ Herzt HSK 165 ด้วยเสียงที่เรียบร้อย ฟังดูแล้วรู้สึกว่ากลมกล่อม แหลมพอดี ไม่ใสมากนัก กลางอ่อนนุ่มฟังสบาย ที่สำคัญ MID Bass ดีมาก แทบจะไม่ต้องเพิ่มซับ ก็เลยตัดสินใจซื้อ Herzt ใน Rc web ขายอยู่ 7500 บาท แต่ด้วยความโชคดีของผมมีพี่คนหนึ่ง แนะนำให้ไปลองฟังลำโพงยี่ห้อ Alangkan ผมก็ไปหาฟังไปเจอที่บ้านหม้อ คู่ละ 2,500 บาทแต่ไม่มีประกัน พังแล้วซื้อใหม่แต่แยกชึ้นในการซื้อได้ ต้องบอกเลยครับว่ามันคือ ลำโพงยี่ห้อ Herzt HSK 165 เพียงแต่ลอกตรายี่ห้อออกเท่าน เสียงทุกอย่างเหมือนกัน จึงทำให้ประหยัดงบไปได้ตั้ง 5,000 บาท
-ลำดับที่ สาม เมื่อเราต้องการเบสที่ประตูหน้าสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ แผ่นแดมป์ ช่วยกันให้ลมท้ายลำโพง ไม่มาเจอกับลมหน้าลำโพง และ ช่วยให้ช่องประตูกลายเป็นตู้ลำโพงไปในตัว เสียงเบสดีขึ้นเห็นๆ สนนราคาที่บ้านหม้อ 350 บาทเท่านั้นเอง
-ลำดับที่สี่ สายต่างๆ สายเเบต สายลำโพง ผมก็ได้ไปจัดการซื้อหามา ในราคาสายเเบตเมตรละ 50 บาท สาย 10มม. สายลำโพง เมตรละ 35 บาท(อารมณ์เงินหมดแล้วได้แค่นี้แหละ)
จากนั้นก็นำมาติดตั้งเองที่บ้าน เปิดฟัง เสียงที่ออกมาสดดีครับตามบุคลิกของฟร๊อน แบรนด์ Alpine เหมาะจะฟังเพลง RocK หรือ เพลงแนวเพื่อชีวิตเป็นอย่างมาก เสียงเหมือนนั่งฟังอยู่หน้าเวทีร้านเหล้า ยังไงยังงั้น มิติเสียงไม่เท่าไหร่ขนาดเอา ลำโพงขึ้นมาแบะไว้ที่เสา A แล้วนะเนี่ย บอกตรงๆเลยครับว่าผิดหวัง เล็กน้อย ปลอบใจตัวเองว่า ของใหม่ๆมันต้องมีเบรินกันหน่อย ทนฟังเสียงสดๆ ไปได้ 1 เดือนวันละ 7-8 ชม. รวม 200 กว่าชัวโมง ตัดสินใจขายมัน ทิ้งซะ ก็เลยขาย ฟร๊อน ALpine 9873 ไปในราคา 5000 บาท ขาดทุนไปตั้ง 600 บาท(โง่อันดับที่ 2)
หลังจากได้เงินมา 5,000 ก็ไปเดินบ้านหม้ออีกครั้ง คราวนี้หมายมั่นว่าจะไปสอย Clarion 566 ซึ่งราคา 6,000 บาท แต่ด้วยความโชคดีที่ รุ่น 566 ที่ร้านหมดผมจึงได้ไปสอยตัว 466 มาแทนในราคา 4800 บาท และเป็นตัวที่ผมเห็นตั้งไว้ในร้านๆหนึ่งที่บ้านหม้อตั้งแต่ปี 49 ตอนแต่งเครื่องเสียงตาตี่ ผมจึงไปสอยมาแต่มันไม่มีคู่มือจึงไป Search ใน Google
และได้โทรไปถามข้อมูลกับทางบริษัทผู้นำเข้าพบว่าตัวนี้เสียงดีกว่าตัว 566 เสียอีก เป็นความโชคดีและเป็น(ความโง่ลำดับที่ 3) เห็นแล้วแต่ไม่ซื้อ ทั้งๆที่ถูกกว่า ตั้งเกือบพัน
ผลการทดลองฟัง ครับ เสียงที่ได้ออกมาดีมากกกก เหมือนลิ้งที่ในเวป
http://www.caraudioonline.net/Content/view.asp?MenuID=4&ContentID=162 บอกไม่มีผิด ที่แตกต่างจาก Alpine อย่างเห็นได้ชัดคือ มิติ ครับ มิติต่างกันแบบนรก กะ สวรรค์ หลายคนเคยดูหนังแล้วเครื่องบินบินผ่านจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้ายไหมครับ มิติเสียงเหมือนอยู่ในโรงภาพยนต์ เมเจอร์ยังไงงั้น แต่ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ คือ ฟร๊อนตัวนี้ไม่เหมาะจะนำมาฟังเพลงร๊อค เท่าไหร่ จากการทดลองฟังแผ่นของ พี่ป้าง นครินทร์ พี่ป้างของผมเสียงงี้ติ๋มไปเลยครับ แต่พอมาฟัง พี่ เจ เจตริน เสียงออกมาทุ้มอิ่ม ดูหล่อกว่าตัวจริงนิดหน่อย ทำให้รู้ว่า "ไม่มีอะไรที่ดีที่สุด ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างต้องเลือกให้ตรงกับใจมากที่สุด" เพราะ ผมเน้นฟังเพลงสบายๆ บรรยากาศเรื่อยๆ
เด๋วพรุ่งนี้มาเขียนต้องในเรื่องโง่ๆ ลำดับที่ 4