Close this window

วิธีใช้รถอย่างไรให้ประหยัด.

เดินทางอย่างไรให้ประหยัดพลังงาน
สสสสสภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทย ในปี พ.ศ.2544 พบว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(GDP) ขยายตัวร้อยละ 1.8 โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปี ที่แนวโน้มการฟื้นตัวทาง
เศรษฐกิจเริ่มปรากฎชัดขึ้น การผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี
โดย เฉพาะหมวดวัสดุก่อสร้างและ รถยนต์เป็นผลให้ปริมาณการใช้และการผลิตน้ำมัน
สำเร็จรูปเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ
สสสสสภาพรวมปริมาณการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในปี 2544 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อ
เทียบกับปี 2543 การผลิตน้ำมันสำเร็จรูปหลักเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิด ยกเว้น การผลิตน้ำมันเตา
และน้ำมัน เครื่องบิน ขณะที่การใช้น้ำมันสำเร็จรูปของประเทศลดลงร้อยละ 2.6 ทั้งนี้เนื่อง
การใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลงมากจึงเหลือสำหรับส่งออก โดยในปี 2544
มีการส่งออกน้ำมัน สำเร็จรูป(สุทธิ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 และเป็นการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป
ทุกชนิด

สสสสสปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินอยู่ที่ระดับ 118 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เมื่อ
เทียบกับปี 2543 คาดว่าเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น สังเกตได้จากยอดการจำหน่าย
รถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ขยายตัวขึ้นมาก ทั้งนี้การใช้น้ำมันเบนซินพิเศษลดลง
ร้อยละ 12.4 ขณะที่การใช้น้ำมันเบนซินธรรมดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6เป็นผลจากการรณรงค์
ให้มีการใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนให้เหมาะสมกับประเภทรถและมาตรการดังกล่าวได้รับการ
ตอบรับจากประชาชน ด้วยดี ทำให้มีการใช้น้ำมันเบนซินธรรมดา (ออกเทน 87 และ 91)
เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนการใช้เบน ซินธรรมดาอยู่ที่ระดับร้อยละ 56 เบนซินพิเศษร้อยละ 44
สสสสสจากปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลที่เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นภาระต่อประเทศชาติที่ต้อง
จัดหาพลังงานมาให้เพียงพอกับความต้องการใช้ ต้องจัดการกับมลพิษจากกระบวนการผลิต
และการใช้รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ เราทุกคนในฐานะผู้ใช้พลังงาน
ในการเดินทางจึงต้องช่วยกันลดภาระของประเทศชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปัญหาและเพื่อ
การใช้พลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต
สสสสสขับรถอย่างไรให้ประหยัดน้ำมันและเป็นการช่วยชาติได้อีกด้วย
สสสสส1. ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด : หากบรรทุกน้ำหนักเกินเพียง 50 กก. ทำให้ระยะ
ทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 ลิตร สั้นสง 1 กม. และเกิดการสึกหรอของรถยนต์มากขึ้น
สสสสส2. เลือกใช้ขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว : เช่น บขส. ขสมก. รถไฟฟ้า
หรือรถไฟใต้ดินให้มากขึ้น
สสสสส3. เดินทางเท่าที่จำเป็นจริงๆ : เพื่อประหยัดน้ำมัน บางครั้งเรื่องบางเรื่องอาจติดต่อกัน
ทางโทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ อินเตอร์เน็ตได้ และยังประหยัดน้ำมัน ประหยัดเวลาด้วย
สสสสส4. ก่อนไปพบใคร ควรโทรศัพท์ไปถามและนัดหมายเวลาให้แน่นอน : จะได้ไม่เสียเที่ยว
ไม่เสีย เวลา ไม่เสียน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์
สสสสส5. ไปธุระใกล้ๆ : อาจจะเดิน หรือใช้จักรยานแทน ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ทุกครั้ง ทั้ง
เป็นการออกกำลังกายและประหยัดน้ำมัน
สสสสส6. ศึกษาเส้นทางที่จะไปให้แน่ชัด : ศึกษาแผนที่ให้ดีจะได้ไม่หลงทาง รวมทั้งวางแผน
เส้นทางก่อนการเดินทาง ศึกษาเส้นทางลัด เลือกช่วงเวลาการเดินทางที่การจราจรไม่ติดขัด
เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา ไม่เปลืองน้ำมัน และไม่ต้องเผชิญปัญหาจราจรบนท้องถนนนาน ๆ
สสสสส7. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผิวการจราจรขรุขระ : ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากยิ่งขึ้น
สสสสส8. ทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) : เดินทางไป ึ มา ที่หมายเดียวกัน ทางผ่าน
หรือใกล้เคียงกัน ควรใช้รถคันเดียวกัน เพื่อลดการใช้รถยนต์ ช่วยประหยัดน้ำมันและลด
มลพิษ
สสสสส9. เตรียมพร้อมก่อนการเดินทาง : จัดเตรียมข้อมูลสนับสนุนการเดินทางให้พร้อม
เช่น แผนที่เส้นทาง ตรวจระดับน้ำในแบตเตอรี่ ระดับน้ำในหม้อน้ำ ตรวจระดับน้ำมันใน
เครื่อง อุปกรณ์สำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน และผู้ขับควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ
สสสสส10. ไม่ติดตั้งอุปกรณ์ตบแต่งที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น : เช่น การขยาย
หน้าล้อ จะเพิ่มพื้นที่รับน้ำหนักรถ เมื่อเร่งความเร็ว เครื่องยนต์ต้องใช้ความเร็วรอบสูงกว่า
ปกติ และเปลืองน้ำมันมากขึ้น รวมถึงการตบแต่งที่ทำให้เกิดการต้านลมขณะวิ่ง หรือทำให้
เครื่องยนต์ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี
สสสสส11. เลือกใช้น้ำมันเบนซินที่มีออกเทนเหมาะกับรถยนต์ : เลือกออกเทนให้ถูกชนิด
ประเภทของรถแต่ละยี่ห้อ ออกเทนที่สูงเกินความจำเป็นของเครื่องยนต์ จะเป็นการสิ้น
เปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
สสสสส12. ไม่เร่งเครื่องยนต์ตอนเกียร์ว่าง : การกระทำดังกล่าว 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมัน 50 ซีซี
ปริมาณน้ำมันขนาดนี้รถวิ่งได้ 350 เมตร
สสสสส13. ไม่ออกรถกระชาก : การออกรถกระชาก 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันไปเปล่าๆ 100 ซีซี
น้ำมันจำนวนนี้รถสามารถวิ่งได้ไกล 700 เมตร
สสสสส14. ไม่ต้องอุ่นเครื่อง : หากออกรถและขับช้าๆ สัก 1 ึ 2 กม. แรก เครื่องยนต์จะ
อุ่นเอง ไม่ต้องเปลืองน้ำมันไปกับการอุ่นเครื่อง
สสสสส15. ไม่ควรขับรถลากเกียร์ : การลากเกียร์ต่ำนานๆ ทำให้เครื่องยนต์หมุนรอบสูงกิน
น้ำมันมากและเครื่องยนต์ร้อนจัด สึกหรอง่าย
สสสสส16. ขับรถด้วยความเร็วคงที่ : เลือกขับที่ความเร็ว 70 ึ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ที่ 2,000 ึ 2,500 รอบเครื่องยนต์ ความเร็วระดับนี้ประหยัดพลังงานได้มากกว่า
สสสสส17. เปิดใช้เครื่องปรับอากาศเท่าที่จำเป็นและไม่ปรับอากาศให้เย็นเกินไป
ยามเช้าควรเปิดกระจกรับความเย็นจากลมธรรมธรรมชาติ เนื่องจากการเปิดเครื่องปรับ
อากาศสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อ เพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
สสสสส18. ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถนาน ๆ : จอดรถติดเครื่องทิ้งไว้ 5 นาที
สิ้นเปลืองน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ 300 ซีซี และดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ขึ้นของ ลงของ
หรือคอยคน การติดเครื่องทิ้งไว้เปลืองน้ำมัน สร้างมลพิษและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
สสสสส19. ตรวจเช็คเครื่องยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนด : เป็นการบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ
ไม่ให้สึกหรอ เช่น ทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิด เปลี่ยนหัวคอนเดนเซอร์ ช่วยประหยัด
น้ำมันได้ถึง 10 %

การบำรุงรักษาเครื่องยนต์
สสสสส1. ไส้กรอง : ตรวจเช็คทำความสะอาดทั้งไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
และไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการเผาไหม้เครื่องยนต์ที่สมบูรณ์ และไม่สิ้นเปลือง
น้ำมันเชื้อเพลิง
สสสสส2. คาร์บูเรเตอร์ : ตรวจดูคาร์บูเรเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ หากสกปรกรถยนต์จะวิ่งได้
ระยะทางน้อยลง ประมาณ 1.3 กม. ต่อน้ำมัน 1 ลิตร
สสสสส3. หัวเทียน : หากหัวเทียนบอดหรือเสื่อมสภาพ รถยนต์จะวิ่งได้ระยะทาง
ร้อยละ 0.85 กม. ต่อน้ำมัน 1 ลิตร
สสสสส4. ลมยาง : ยางที่อ่อนเกินไปทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น คือ ความดันลมยางต่ำกว่า
เกณฑ์ที่กำหนดทุกๆ 1ปอนด์ต่อตารางนิ้ว สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ส่วน
ยางที่แข็งเกินไปจะทำให้ยางแตกและขับขี่ไม่นุ่มนวล
สสสสส5. เบรก : หากผ้าเบรกเสียดสีจานล้อเสมอ (เบรกติด เบรกตาย หรือตั้งระยะไม่
เหมาะสม) สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
สสสส 6. น้ำมันเครื่อง : เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องตามกำหนดและเลือกใช้
น้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพเครื่องยนต์ จะลดแรงเสียดทานภายของเครื่องยนต์
และประหยัดน้ำมัน เชื้อเพลิง
สสสสส7. เกียร์ : ใช้เกียร์แต่ละระดับให้สัมพันธ์กับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ถ้าขับ
รถเกียร์ต่ำนานๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขณะที่ความเร็วรอบของเครื่องไม่สัมพันธ์กัน
จะทำให้กำลังของเครื่องยนต์ ตกและเป็นสาเหตุของการสิ้นเปลืองน้ำมัน
สสสสส8. แบตเตอรี่ : ตรวจระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับพอดี ถ้าปล่อยให้น้ำกลั่น
แห้ง รถจะสตาร์ทไม่ติด และแบตเตอรี่นั้นจะใช้งานอีกไม่ได้ และไม่เติมน้ำกลั่นสูงกว่าขีด
ที่กำหนดเพราะขณะที่ขับรถน้ำกลั่นในแบตเตอรี่จะขยายตัวและล้นออกมากัดกร่อนตัวถัง
อื่น ๆ ได้

ข้อมูลโดย สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
โดย: มะดัน   วันที่: 8 Jul 2005 - 19:19