Close this window

มีไว้เถิด...
แบตเตอรี่ ถือว่าเป็นอุปกรณ์หลักที่สำคัญในระบบไฟฟ้ารถยนต์ก็ไม่ผิดนัก และยังจัดว่าเป็นแหล่งจ่ายไฟหลักในรถยนต์อีกด้วยซึ่งปัจจุบัน แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ก็มีให้เลือกหลายแบบด้วยกัน มีทั้งแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นและแบบที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น พอเสียหรืเสื่อมก็ยกเปลี่ยนใหม่ทั้งลูก แต่ด้วยสนนราคาของแบตเตอรี่แบบที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ที่เขาเรียกว่า MANINTENANCE FREE นั้น ค่อนข้างสูงกว่าแบบต้องเติมน้ำกลั่นอยู่พอสมควร
ก็เลยทำให้เจ้าของรถส่วนใหญ่ยังนิยมใช้แบตเตอรี่แบบเดิม ๆ กันอยู่ เมื่อเป็นแบบนี้เราก็ต้องคอยดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้ดีด้วยการตรวจเช็กระดับน้ำกลั่น ในช่องเซลล์แบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และควรให้ร้านที่จำหน่ายแบตเตอรี่ หรือร้านซ่อมไดนาโมทั่ว ๆ ไป ซึ่งส่วนใหญ่ร้านประเภทนี้จะมีเครื่องมือที่ใช้วัดค่าความถ่วงจำเพาะของสารละลายที่อยู่ในแบตเตอรี่เครื่องมือที่ว่านี้เรียกว่า ไฮดรอมิเตอร์ (HYDROMETER) ตรวจเช็กค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำในหม้อแบตเตอรี่ทุก ๆ 6 เดือนด้วยก็จะดีไม่น้อย เพื่อดูว่าแบตเตอรี่ที่เราใช้อยู่เริ่มเสื่อมหรือยัง
ส่วนอาการที่บ่งบอกว่า แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมแล้ว ก็เช่น สตาร์ทแล้วเครื่องหมุนช้าหรือแทบไม่หมุนเลย หรือเวลาสตาร์ทในตอนกลางคืน หากเปิดไฟหรี่ไว้ ไฟที่แผงหน้าปัดจะติด แต่เมื่อบิดกุญแจสตาร์ทแล้ว ไฟหน้าปัดจะติด แต่เมื่อบิดกุญแจสตาร์ทแล้ว ไฟหน้าปัดดับวูบลง อะไรแบบนี้ เป็นต้น สำหรับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้น โดยทั่ว ๆ ไปก็อยู่ในช่วง 15-30 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและการดูแลรักษาครับ
แต่ไม่ว่าแบตเตอรี่ในรถของท่านจะอยู่ในสภาพไหน ๆ ก็ตาม ผมขอแนะนำให้มี "สายพ่วงแบตเตอรี่" ติดรถไว้เสมอครับ ผมเองเคยมีประสบการณ์จากเรื่องนี้มาบ้าง ประเภทว่า แบตฯ รถเรายังดีไม่ต้องใช้หรอกสายพ่วงแบตฯ ที่ไหนได้ไป ๆ มา ๆ แบตฯ หมดซะนี่ ต้องเรียกรถแท็กซี่มาช่วงพ่วงแบตฯ ให้หน่อยเรียกมา 2-3 คันก็เปล่าประโยชน์ครับ เพราะไม่มีสายพ่วงแบตฯ กว่าจะได้ไปต่อก็เสียเวลาไปนานสองนาน ตั้งแต่นั้นมาผมเลยหาซื้อสายพ่วงแบตฯ ติดรถไว้เสมอ ยิ่งรถใครใช้เกียร์อัตโนมัติ นี่ต้องมีสายพ่วงแบตฯ ติดรถไว้เลยนะครับ เพราะหากกำลังไฟในแบตเตอรี่ไม่พอที่จะสตาร์ตเครื่องได้ อย่าหวังว่าจะใช้ระบบ "สตู๊ดตาร์ต" หรือเข็นให้ติดได้เหมือนรถที่ใช้เกียร์ธรรมดานะครับ เพราะในระบบเกียร์อัตโนมัติ จะมีตัวทอร์คอนเวอร์เตอร์เป็นตัวตัดต่อกำลังอยู่ ถ้าจะให้เครื่องยนต์หมุดได้ อาจจะต้องเข็นให็รถวิ่งด้วยความเร็วสัก 50-60 กม./ชม. แล้วความเร็วขนาดนั้นใครจะเข็นให้รถวิ่งได้ละจริงไหมครับ?
ดังนั้น มีติดรถไว้เถอะครับไม่เสียหลาย สายพ่วงแบตเตอรี่ ถึงไม่ใช้พ่วงแบตเตอรี่ก็อาจใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้นะครับ
โดย: HATA   วันที่: 18 Jun 2005 - 21:27