Close this window

BOS Basic Operation Save
จะขับแบบเขา !...หรือ...ประหยัดแบบเรา ?...

"เรียนรู้เพื่อความเข้าใจ...นำไปปฏิบัติได้ทันที"

DIY แบบง่าย ๆ ที่ช่วยแปรเปลี่ยน "นามธรรม" ให้เป็น "รูปธรรม" อย่างเด่นชัด ในความหมายที่ช่วยให้คุณเข้าใกล้ความเป็น "Motorist" มากยิ่งขึ้น


นักวิชาการด้านเศรษฐกิจสังคมไทยมีคำกล่าวอยู่เสมอครับว่า..."คนไทยเราส่วนใหญ่มักดำเนินชีวิตอยู่แบบ "นามธรรม-Abstract" คือรู้และเข้าใจ แต่ไม่ (ยัก) นำพาเอามาใช้ให้เกิดเป็นประโยชน์โภชผลในเชิงปฏิบัติในเชิง "รูปธรรม-Concrete" (สักที)

ตามคำขอที่เร่งด่วนของหลาย ๆ ท่านที่อยากทราบวิธีขับขี่ที่ช่วยเพิ่มความประหยัดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอันที่จริงเรื่องแบบนี้เขียนเป็นตำราว่าด้วย BOS ได้นับ 100 วีธี ที่ "นักรถยนต์" เช่นเราสามารถขับขี่ให้ประหยัดได้ในรถยนต์คันเดิมของเรา หากแต่ผมจะขอเอ่ยแบบ 10 วิธีง่าย ๆ ให้คุณนำไปใช้กับรถยนต์ของคุณ แม้จะเล็กแค่ 1,000 ซี.ซี. หรือ 4,000-5,000 ซี.ซี. วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณประหยัดได้...จนกว่า...จนกว่าจะ ETERNAL- GASOHOL หรือเชื้อเพลิงทดแทนอย่างอื่นจะทันใช้ ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคุยกันเรื่อง... "10 วีธี ขับขี่ให้เปลือง" กันใหม่...ดีไหมเอ่ย!?


เพื่อให้ง่ายในการแปรเปลี่ยน "นามธรรม" ให้เป็นความประหยัดที่เห็นได้ชัดแบบ "รูปธรรม" ผมจึงนำ "แบบเขา" กับ "แบบเรา" มาเทียบเป็นตารางเปรียบเทียบแบบง่าย ๆ ที่คุณหรือใคร อ่านแล้วเข้าใจ และนำไป BOS ได้ในทันที


1. ขับไปตามอำเภอใจ...ประหยัดเป็นไง...อยากได้แต่ไม่ทำ

ต่อไปนี้คุณควรทำ Marking ขีดสะท้อนแสงบน "เกจ์วัดรอบ" เอาไว้ โดยขีดนั้นจะแต้มไว้ที่กึ่งกลางระหว่าง "ขีดแดง" ของเกจ์วัดรอบ ตัวอย่างเช่น เกจ์วัดรอบของรถคุณ "RED LINE" ไว้ที่ 6,000 rpm และเพียงแค่คุณนำสติกเกอร์สะท้อนแสงเจียร์บาง ๆ มาแต้มเอาไว้ที่เลข 30 x 100 (3,000 rpm) และใช้รอบเครื่องยนต์โดยให้เข็มวัดรอบวิ่งแตะตรง "กึ่งกลาง RED LINE" นี้ไว้ คุณจะได้ความประหยัดระหว่าง 10-15% ในทันทีที่ปฏิบัติ โดยเฉพาะที่ความเร็ว 60-80-100 กม./ชม.

ไหน ๆ ก็ "ตัดแปะ" เกจ์วัดรอบแล้ว เศษสติกเกอร์ที่เหลือก็เอามาแปะไว้ที่เกจ์วัดเชื้อเพลิง โดยกะเอาว่าคุณน่ะใช้น้ำมันเป็นกิจวัตรประจำวันกี่ขีด แปะไว้ตรงนั้นพอดี เมื่อเข็มลดเกินกว่านี้ คุณกำลังเปลืองและจงรู้ตัว!

2. ลมยางช่างมันเถอะ !

เติมลมยางให้มากกว่าเดิม 2-3 ปอนด์ เมื่อตอนยางเย็นตัว เพื่อลดตารางนิ้วสัมผัสของ "หน้ายาง" และผิวถนนจาก 10-12 ตร.นิ้ว ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานเดิม ๆ (แต่ต้องขอบอกว่า หน้าสัมผัสน้อย การยึดเกาะถนนก็จะน้อยลงไปด้วย) ลงเหลือเพียง 6-8 ตร.นิ้วต่อหนึ่งหน้ายาง ง่าย ๆ เท่านี้กลับมีผลประหยัดให้คุณเกิน 10% เชื่อหรือไม่?

3. ร้อยละ 50...ผ้าเบรก (มัก) บีบติดจานเบรก

เบรกล่ะ ตรวจตราบ้างหรือไม่ ลองอ้าระยะของผ้าเบรกออกไปเพียงแค่ 1-2 มม. เพื่อลดระยะสีระหว่างผ้าเบรกที่มักบีบตัวกับจานดิสก์เบรก ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยใช้เวลาเล็กน้อยช่างเบรกจะจัดการ "อ้า" หรือ Clearance ระยะเบรกให้คุณโดยมิมีผลร้ายในการหยุดรถของคุณแม้แต่น้อย และเชื่อไหมล่ะว่า เบรกที่ติดจาน มันแอบผลาญน้ำมันคุณมาเป็นแรมเดือนทีเดียวครับ




4. แคตตาไลติก ! มันอยู่ตรงไหนหว่า ?

เจ้าของรถยนต์ตั้งมากมายที่ไม่ยักกะรู้ว่า Catalytic Converter น่ะ มันมีอายุงานแค่ 80,000 กม. หรือราว 4 ปี (เท่านั้นเอง) จะให้ดีเปลี่ยนมันซะแถวๆ 60,000 กม. (แถว 3 ปี) จะดีกว่าครับ เพราะ "CAT-CON" ตัวนี้จะกลายเป็น "แมวอ้วนจอมตะกละ" พร้อมผลาญน้ำมันเพิ่มระหว่าง 30-40% ทันทีที่ 3-4 ปีของการขับ

5. AIR FLOW-Meter เจ้าปัญหา !

เครื่องยนต์สมัยใหม่ของคุณ มี "แอร์บ็อกซ์" ยูนิตไว้ โดยมี A/F เป็นอุปกรณ์ ECU วัดค่าการไหลของปริมาณอากาศเพื่อ MAP-Sensor (Maniflow Absolute Pressure) เข้าไปประมวลการจุดระเบิดให้เผาไหม้อย่างเหมาะสมและหมดจด จะว่าไปคุณหรือใคร ๆ อาจไม่สนใจมัน เพียงแค่เปิดออกมาชะล้างทำความสะอาดบ้าง นอกจากทางเดินของอากาศจะสะอาดแล้ว ความผิดพลาดจากการสั่งงานที่สกปรกของมันก็จะคืนความประหยัดให้คุณได้นับ 10% หรือด้วยวิธีง่าย ๆ คุณหมั่นเป่าไส้กรองอากาศ หรือ Air filterให้บ่อยขึ้น วิธีง่าย ๆ ใช้เวลาแค่ 10 นาทีในแต่ละสัปดาห์ ปัญหาของ A/F สกปรกหรืออุดตัน มันก็จะหายไปเลยครับ

6. น้ำมันเครื่องลื่นอยู่แล้ว

จากผลทดสอบทุกตารางการทดสอบ ผลปรากฏว่า น้ำมันเครื่องแบบ SYNTHETIC 5W-50 ถึงจะแพงไปสักหน่อย แต่ผลด้านความประหยัดจากความบางใสอันคงที่ในทุกอุณหภูมิของมัน ก็ปรากฏเป็นตัวเลขความประหยัดที่มากกว่าน้ำมันเครื่องแบบธรรมดา 20W-40 ถึง 0-15% นอกจากนั้นคุณสมบัติในการรักษาอุณหภูมิอันคงที่ของมันนั้น ยังมีผลดีเยี่ยมต่อการทำความสะอาดห้องเผาไหม้ที่เคยสกปรกจากเขม่าและคาร์บอน รวมถึงสารประกอบอื่น ๆ ที่จับตัวจากความกดดันและอุณหภูมิสูง ๆ ช่วยต้านการน็อกและลดแรงต้านการจุดระเบิดและให้การประจุไอดีได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย ต่อไปนี้คุณคงไม่มองน้ำมันเครื่องแค่ความลื่นไหลอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?

7. จัดระเบียบเครื่องยนต์...ทำไปทำไม...เปลือง(ว่ะ)

เดี๋ยวนี้รถพันธุ์ใหม่ พวกมันล้วนต้องการให้คุณ "จัดระเบียบ" อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง พวกมันชอบให้คุณ Engine function Analysis กันทั้งนั้นแหละ วิธีนี้พวกมันจะสามารถคุยกับคุณได้ถึงความเจ็บไข้ไม่สบายของพวกมัน เดี๋ยวนี้คุณคุยกับเครื่องยนต์ได้แล้วนะ มันอาจมีเรื่องร้องเรียนตั้งมากมายที่เคยอึดอัดคับใจในแต่ละปีที่ผ่านมา และคุณจะคุยกับมันได้ด้วยเครื่องมือแปล "ภาษารถเป็นภาษาคน" ได้ด้วย DIAGNOSIS ENGINE SYSTEM เพียงแค่นี้ ระบบภายใน ระบบเผาไหม้ ระบบต่าง ๆ อีก 2-3 อย่างจะบอกกล่าวต่อคุณว่า มันพร้อมแค่ไหนในด้านประสิทธิภาพเพื่อความประหยัด

8. เกียร์ AUTO ล่ะ...อย่าไปยุ่งกะมัน !

การลดตำแหน่งเกียร์ออโตเมติกลงมาจะช่วยคุณประหยัดได้ 10-15%
ก่อนอื่นคุณควรเข้าใจว่า ตำแหน่งออโต้ เกียร์ D-D1-D2-D3 และ Overdrive จะช่วยคุณประหยัดได้ หากใช้ให้เหมาะสม

D1 หรือไดร์ฟ คือเกียร์ต่ำ มันจะทำงานที่ความเร็ว 0-30 กม./ชม.
D2 คือ เกียร์ 1 และเกียร์ 2 มันจะเปลี่ยนกลับไป-มา 2 ตำแหน่ง ในช่วงความเร็ว 35-60 กม./ชม.
D3 คือ เกียร์ 1-2-3 มันจะเปลี่ยนกลับไป-มา 3 ตำแหน่งในช่วงความเร็วระหว่าง 35-95 กม./ชม.
D4 คือ เกียร์ 1-2-3-4 ที่จะเปลี่ยนกลับไป-มา ถึง 3 ตำแหน่งจาก D2-D4 ระหว่างความเร็ว 35 เกินกว่า 125 กม./ชม.(รถยนต์ขนาดมาตรฐาน 1,600-2,000 ซี.ซี.)

การเปลี่ยนกลับไปมาของเกียร์ออโต้และรอบเครื่องยนต์ มีผลต่อความสิ้นเปลืองทั้งสิ้น ยิ่งเปิดโอกาสให้จังหวะของเกียร์ออโต้ทำงานมากในด้านเปลี่ยนไป-มานั้น ก็จะยิ่งใช้ลมดูด Vacuum จากท่อไอดีมาช่วยในการเปลี่ยนเกียร์ทั้งสิ้น และทุกครั้งที่จังหวะเกียร์เปลี่ยนกลับไป-มาโดยอัตโนมัตินั้น ยิ่งเปลี่ยนมาก ลมดูดจากท่อไอดีก็ถูกใช้ไปมากและบ่อย ทำให้เครื่องยนต์บางแบบขาดไอดีที่ถูก "ลมดูด" ไปใช้ในการเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้ง และทุกครั้งที่เครื่องยนต์ขาดไอดีนั้น มันจะชดเชยด้วยการเปิดลิ้นเร่งเชื้อเพลิงเพื่อนำไอดีที่ขาดนั้นสู่เครื่องยนต์โดยอัตโนมัติ

วิธีการใช้เกียร์ออโตเมติกให้ประหยัดของคุณนั้น สามารถกระทำได้โดยง่าย ด้วยการใช้เกียร์ออโต้ให้เหมาะกับสภาวะจราจร ด้วยการปรับตำแหน่งเกียร์ออโต้ให้เหมาะสม เช่น ไม่ควรคา D4 (เกียร์สูงสุด) ไว้ในทุกกรณี

เมื่อคุณใช้ความเร็วต่ำในการจราจรที่มีค่าเฉลี่ยแค่ 30-50 กม./ชม. ตำแหน่งออโต้ที่เหมาะสมคือ D2 ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปมาได้คล่องตัวและรวดเร็วกว่า แถมยังขโมย "ลมดูด" น้อยและเพียงสั้น ๆ ในเสี้ยววินาทีเท่านั้น ลิ้นเร่งไม่ทันจะรู้ตัวด้วยซ้ำ ต่อเมื่อหนทางโล่งการจราจรคล่องตัว คุณจึงค่อยใช้ D3 หรือ D4 ที่ความเร็วสูงในถนนโล่งตามความเหมาะสม

O/D หรือ Overdrive หรือเกียร์ปลายช่วยลดรอบ อย่าเผลอกดคาไว้ ด้วยเข้าใจว่าการลดรอบจะช่วยให้ประหยัด แต่มันยิ่งเปลืองมากขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อคุณใช้มันไม่เหมาะสม

9. เครื่องร้อน เครื่องเย็น...ไม่เห็นจะเกี่ยวกับความประหยัด




เครื่องยนต์สมัยใหม่ ล้วนใช้อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์เข้าประมวลผลทั้งสิ้น อุณหภูมิเครื่องยนต์ (Engine Temperature) ปริมาณออกซิเจนในไอเสีย (Oxygen Sensor) การจุดระเบิด (Ignition) วงจรควบคุมการเดินเบา (Idle Speed Control) ล้วนเกี่ยวข้องกับความสิ้นเปลืองอันเป็นบริบททั้งสิ้น การล้างหม้อน้ำปีละ 1-2 ครั้ง พร้อมการเปลี่ยน "ออกซิเจนเซ็นเซอร์" ที่ตรวจจับไอเสียทุก 40,000 ก.ม. หรือ 2-3 ปี จะมีผลต่อการเผาไหม้ และการเดินเบาที่แม่นยำ เพราะความสิ้นเปลืองระหว่าง 40-70% นั้น จะเกิดขึ้นขณะเครื่องยนต์เดินเบา (Idle speed control) ที่ขาดประสิทธิภาพ ยิ่งเครื่องยนต์ของคุณเก่าเท่าใด การเอาใจใส่ในด้านอุณหภูมิหม้อน้ำ และ Oxygen Sensor ก็ยิ่งน่าใส่ใจครับ

10. ออกเทนต่ำ ราคาก็ต่ำ ช่วยประหยัด

เห็นจะไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อพบความจริงว่า เมื่อเราเติมเบนซินที่มีค่าออกเทนต่ำกว่ากำหนดลงไปในเครื่องยนต์เพื่อผลด้านความประหยัดเงินนั้น ผลที่ได้กลับไม่คุ้ม เพราะแม้จะขับได้จริงในความเร็วต่ำ แต่เครื่องยนต์ก็จะลดประสิทธิภาพลงมาด้วยองศาการจุดระเบิด (Retard Ignition timing) ที่ต่ำลง เพื่อให้เหมาะสมกับค่าการเผาไหม้ตามค่า RON Rate Octane Number นั้น ๆ เมื่อเครื่องยนต์ลดประสิทธิภาพลง กำลังของมันก็ลดน้อยลงระหว่าง 15-25% นั่นเกือบเท่ากับว่า แรงม้า 100 ตัว ที่เคยแบกน้ำหนัก 1,000 กก.ของคุณ เหลือเพียง 80-85 ตัวเท่านั้น ดังนั้น คุณจะสิ้นเปลืองมากยิ่งขึ้นเมื่อเติมออกเทนที่ต่ำกว่าค่ากำหนด และเมื่อคุณวิ่งเหยียดยาวเท่าใด ความสิ้นเปลืองก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

ด้วย 10 วิธีง่าย ๆ ที่ผ่านการพัฒนาและกลั่นกรองให้เหมาะสมกับบทบาทของเครื่องยนต์ยุคใหม่ของคุณ จะช่วยให้คุณ BOS ได้ทันทีถึง 20% โดยพื้นฐานการปฏิบัติ อย่างน้อยก็เพื่อลด GAP จากค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น 35-45% ในขณะนี้ ให้เหลือเพียงแค่ 15-25% เท่านั้น มันไม่ดีตรงไหนหรือครับ...ช่วยบอกหน่อย

คัดลอกมาจาก : http://www.grandprixgroup.com/gpi/maggrandprix/detail.asp?news_id=737
โดย: เต่าฟ้า   วันที่: 21 Dec 2004 - 14:13


 ความคิดเห็นที่: 1 / 7 : 024418
โดย: เต่าฟ้า
จากข้อที่8 "การเปลี่ยนกลับไปมาของเกียร์ออโต้และรอบเครื่องยนต์ มีผลต่อความสิ้นเปลืองทั้งสิ้น ยิ่งเปิดโอกาสให้จังหวะของเกียร์ออโต้ทำงานมากในด้านเปลี่ยนไป-มานั้น ก็จะยิ่งใช้ลมดูด Vacuum จากท่อไอดีมาช่วยในการเปลี่ยนเกียร์ทั้งสิ้น และทุกครั้งที่จังหวะเกียร์เปลี่ยนกลับไป-มาโดยอัตโนมัตินั้น ยิ่งเปลี่ยนมาก ลมดูดจากท่อไอดีก็ถูกใช้ไปมากและบ่อย ทำให้เครื่องยนต์บางแบบขาดไอดีที่ถูก "ลมดูด" ไปใช้ในการเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้ง และทุกครั้งที่เครื่องยนต์ขาดไอดีนั้น มันจะชดเชยด้วยการเปิดลิ้นเร่งเชื้อเพลิงเพื่อนำไอดีที่ขาดนั้นสู่เครื่องยนต์โดยอัตโนมัติ" แล้วถ้าเราตั้งตัวตัดอุณหภูมิของแอร์ใว้ต่ำๆคอมตัดต่อบ่อยๆ อย่างนี้ก็เปลืองนำมันมากขึ้นด้วยรึเปล่า เพราะใช้ลมจากแวคคัมด้วยเหมือนกัน
วันที่: 21 Dec 04 - 14:25

 ความคิดเห็นที่: 2 / 7 : 024447
โดย: nd
โอ๊วว ได้ประโยชน์ มหันต์ เลยทีเดียวเชียวครับทั่น ทันครับผม เหมาะสมครับ เจ้าน๊ายย ยย ย .
วันที่: 21 Dec 04 - 16:21

 ความคิดเห็นที่: 3 / 7 : 024449
โดย: nd
แคตตาไลติก
มันคืออะไรครับ และ อยู่ตรงไหนครับ
ขอบคุณคับ
วันที่: 21 Dec 04 - 16:23

 ความคิดเห็นที่: 4 / 7 : 024459
โดย: โอห์ม
ถามเหมือนคุณ nd ครับ
วันที่: 21 Dec 04 - 17:17

 ความคิดเห็นที่: 5 / 7 : 024505
โดย: เต่าฟ้า
Catalytic Converter ติดอยู่ที่ท่อไอเสียตอนกลาง
วันที่: 21 Dec 04 - 21:50

 ความคิดเห็นที่: 6 / 7 : 024547
โดย: ตูเองแหละ
ขอบคุณคร๊าบ...ได้ความรู้เพิ่มจากคุณเต่าอีกแย๊ว.....
ทำมาหมดแย๊ว.แล้ว เหลือข้อ 9 ข้อเดียว
แล้ว O2 Senser ต้องเปลี่ยนเลยเหรอ...ถอดมา Calibrate ได้ป่าว?

ส่วนข้อ 8 เพิ่งยกมันออกง่ะ..ใส่เกียร์ "แม่นวล" แทนอ่ะ
จากเดิม 8-9 ตอนนี้ตาตี่ผมได้ 10 Km/L
วันที่: 22 Dec 04 - 04:58

 ความคิดเห็นที่: 7 / 7 : 024551
โดย: เต่าฟ้า
O2 Senser ถ้าคันมือจะ DIY ให้ดูนะครับ
วันที่: 22 Dec 04 - 07:36