Close this window

ว่าด้วยเรื่องของยางรถยนต์2
1.เติมลมไนโตรเจนใส่ยางรถ สำคัญหรือสิ้นเปลืองกันแน่
ถ้าจะถามว่าสิ้นเปลืองหรือไม่ ตอบก่อนเลยว่า "สิ้นเปลือง" จากเดิมที่เติมลมยางธรรมดาทั่วไป ที่เช็กฟรีหรือเติมฟรี ตามปั๊มน้ำมันทั่วประเทศไทย แต่ต้องมาเปลี่ยนเป็นใส่ลมไนโตรเจน กับค่าใช้จ่าย 4 เส้น 200 บาท (ครั้งแรกครั้งเดียว ต่อไปเติมฟรี) ใครว่ายังสิ้นเปลืองอีก ก็ต้องติดตามรายงานพิเศษวันนี้เพราะคุณจะจ่ายเพียง 100 บาทเท่านั้น แถมได้ความปลอดภัยในชีวิตตัวคุณเอง และคนที่คุณรักบนรถคันโปรด ราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านบาทของคุณ ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณ เสี่ยโต ประทีป สุวรรณ เจ้าของปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ (ดาวโต ประทีปสุวรรณ) ผู้ใจดี ที่อนุญาตให้เฉพาะแฟนคอลัมภ์ "สกู๊ปพิเศษ" ฉบับนี้ ถือไปทั้งเล่ม โชว์ให้กับแผนกบริการเติมลม ไนโตรเจนของทางศูนย์ จากเดิมที่จะต้องจ่าย 200 บาท เขาลดทันทีครึ่งราคา (50%) ให้คุณจ่ายเพียง 100 บาท เท่านั้น
และเป็นการจ่ายเพียงครั้งแรก ครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งต่อไปเช็กฟรี เติมฟรี โดยสถานบริการที่เติมไนโตรเจนของ BUTLER มีหลากหลายสาขา ติดตามได้ที่โบรชัวร์ของปั๊มประทีปสุวรรณ ขั้นตอนการทำงานของการเติมลมไนโตรเจนก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่คุณขับรถเข้าไปจอดบริเวณแผนกบริการเติมลมที่นี่ (ประทีปสุวรรณ) พนักงานก็จะมาปล่อยลมเก่าของรถคุณ ออกโดยไม่ต้องถอดล้อหรือยางออกแต่อย่างใด เพียงแต่เอาไส้ไก่ของยางออก และอัดลมไนโตรเจนเข้าไปมากกว่าปรกติ 10 ปอนด์ ยกตัวอย่างจากเดิมเติม 40 ก็จะอัดไนโตรเจนเข้าไป 50 ปอนด์ หลังจากนั้นก็จะปล่อยเพื่อล้าง 1 รอบ และรอบที่สองถึงจะเติมตามอัตราปรกติ คือ 28, 30, 40 ฯลฯ
ข้อดีในการใช้ไนโตรเจนเติมลมยาง
1.ลดอัตราการระเบิดของยางลง
2 นุ่มนวลลดเสียงดังจากยางกระทบพื้น
3. เป็นก๊าซที่มีน้ำหนักเบา
4.ไม่ทำให้กระทะล้อเป็นสนิม และแป้งที่เคลือบยางไม่เป็นก้อนในท้องยาง
5.ไม่ต้องตรวจเช็คลมยางบ่อยๆ
6.ยืดอายุยาง
ไนโตรเจน จะลดจำนวนของการตรวจเช็กลมลงจากเดิม แถมพื้นบางที่สัมผัสถนนก็ไม่สึกมากเกินไป รวมถึงการประหยัดน้ำมันอีกทางหนึ่งด้วย
ในการทดสอบไนโตรเจน ให้ผลเป็นที่น่าพอใจต่อการเกาะถนน เนื่องจากไนโตรเจนให้ความนิ่งได้มากกว่าอากาศที่ยังมีการขึ้นๆ ลงๆ (ตามแต่ปริมาณที่เติมอากาศมาสม่ำเสมอ) ไม่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจึงเหมาะกับรถใหญ่ซึ่งน้ำหนักมักมีผลกับตัวรถมาก โดยเฉพาะระยะเบรก ไนโตรเจนยังคงให้ประโยชน์กับพาหนะประเภทอื่นด้วย เช่น รถแวน รถพ่วง รวมถึงรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
ดังนั้นการที่แฟนรถวันนี้จ่ายเพียง 200 บาท หรือถือรถวันนี้ฉบับนี้ไป คุณก็จ่ายเพียงครึ่งเดียว 100 บาท เพื่อซื้อความปลอดภัยให้กับตัวคุณ และคนที่คุณรักน้องลูน่า มองว่ามันคุ้มค่าเกินกว่าคำบรรยาย (ส่วนตัวเติมมาแล้ว) ดังเช่น สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลองเติมไนโตรเจนดู


2.คุณรู้หรือไม่? ลมยางเท่าไหร่ที่เหมาะกับรถของคุณ
ยางรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป เป็นยางรถยนต์ที่ใช้ลมยางสำหรับคงรูปทรงของยางนั้น ๆ ให้ได้ตามขนาด เพื่อรับน้ำหนักและทำหน้าที่ของยางรถยนต์ตามต้องการ ลมยางยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับรถยนต์ของคุณ เพราะลมยางจะช่วยให้การขับขี่รถยนต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากว่าคุณเติมลมยางได้อย่างเหมาะสม
การเติมลมยางของรถยนต์แต่ละคันนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับยางรถยนต์และรถยนต์แต่ละรุ่น รวมไปถึงการใช้งานของแต่ละบุคคล ว่าจะบรรทุกหนักหรือน้อยแค่ไหน แต่ถ้าจะให้ดีควรจะเติมลมยางตามที่ระบุอยู่ในคู่มือที่ติดอยู่ที่ฝาถังน้ำมันหรือขอบประตูของรถยนต์คันนั้น ๆ แต่ยางเส้นนั้นจะต้องเป็นยางขนาดและประเภทเดียวกับยางที่ติดมากับรถด้วย จึงจะเหมาะที่สุดแต่ถ้าหากยางเส้นนั้นไม่ใช่ยางขนาดหรือประเภทเดียวกับยางที่ติดมากับรถ ก็ควรจะขอคำแนะนำจากศูนย์บริการยาง หรือช่างเทคนิคผู้มีความชำนาญในเรื่องยาง
ในกรณีของรถยนต์นั่งหรือรถเก๋ง การขับรถด้วยความเร็วสูง หรือขับติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น ขับออกต่างจังหวัด ก็ควรที่จะเพิ่มความดันลมยางขึ้นอีกประมาณ 3-4 ปอนด์/ตร.นิ้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยางในการขับขี่และลดการบิดตัวของโครงยางขณะใช้งานลง ซึ่งมีผลทำให้ความร้อนที่จะเกิดขึ้นภายในโครงยางลดลง
แต่อย่างไรก็ตามหากยังสับสนในการใช้อัตราความดันลมยาง ก็ควรที่จะสอบถามข้อมูลและคำแนะนำจากบริษัทผู้ผลิตยางเส้นนั้น ๆ จึงจะเหมาะสมที่สุด


3.สลับยางแล้วต้องตั้งศูนย์-ถ่วงล้อหรือไม่
การสลับยาง จะช่วยให้ยางมีการสึกหรอสม่ำเสมอเท่ากันทุก ๆ ด้าน ซึ่งจะมีผลทำให้ยางมีอายุการใช้งานได้นานมากขึ้น โดยควรที่จะทำการสลับตำแหน่งยางทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร สำหรับยางเรเดียล และ 5,000 กิโลเมตร
สำหรับยางธรรมดา ส่วนการตั้งศูนย์ล้อนั้น ไม่ว่าจะมีการสลับยางหรือไม่ก็ตาม ผู้ใช้รถควรหมั่นที่จะสังเกตว่ารถที่คุณขับอยู่นั้นมีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น ดอกยางสึกหรอผิดปกติ หรือมีอาการดึงที่พวงมาลัยไปด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ ถ้าหากคุณพบว่ารถยนต์ที่คุณใช้อยู่นั้นมีอาการดังกล่าวก็ควรที่จะนำไปตั้งศูนย์ล้อ เพื่อเป็นการถนอมและยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ รวมทั้งเพื่อความสะดวกสบายในการบังคับควบคุมพวงมาลัยในขณะขับขี่ ซึ่งโดยปกติควรนำรถยนต์ เข้ารับการตรวจเช็คสภาพศูนย์ล้อทุก ๆ 6 เดือน
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การถ่วงล้อหรือการสมดุลล้อ ถ้าหากพบว่าในขณะขับขี่ที่ความเร็วใดก็ตาม แล้วมีอาการสั่นเต้นที่พวงมาลัย หรือที่ตัวรถจนเกินปกติ ก็แสดงว่ากระทะล้อและยางขาดความสมดุลต้องทำการถ่วงล้อใหม่ นอกจากอาการสั่นเต้นดังกล่าวแล้ว อาจจะมาจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับยางก็ได้ เช่น กระทะล้อคดงอ หรือสภาพช่วงล่างที่สึกหรอและหลวม เป็นต้น ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้แน่ชัดจากช่างผู้ชำนาญการอีกครั้ง


4.เมื่อไหร่ จะถึงเวลาเปลี่ยนยาง
โดยปกติ ถ้าหากยางรถยนต์ได้รับการดูแลรักษา และใช้งานอย่างถูกต้อง สามารถใช้งานได้จนกระทั่งดอกยางสึกหรอเหลือต่ำสุด 1.6 มิลลิเมตร สามารถสังเกตง่าย ๆ ได้จากจุดสามเหลี่ยมเล็ก ๆ 6 จุดบนไหล่ยางแต่ละด้าน เมื่อเจอสัญลักษณ์นี้แล้ว ให้มองตรงขึ้นไปที่หน้ายาง และมองลึกลงไปที่ร่องยาง ก็จะพบสันนูนที่ร่องยาง ซึ่งเรียกว่าสะพานยาง และเมื่อไรที่ดอกสึกไปถึงสะพานยางนั้น แสดงว่ายางหมดอายุการใช้งาน ก็พิจารณาถอดเปลี่ยนเส้นใหม่ได้ทันที เพราะว่าถ้าหากยังใช้ต่อไป ยางอาจไม่เกาะถนน ลื่นไถลได้ง่าย
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากพบว่ายางรถยนต์ เกิดการบวมล่อนขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ที่บริเวณหน้ายาง หรือ ไหล่ยาง ก็ให้ถอดเปลี่ยนยางได้ทันที ซึ่งถ้าหากยังใช้ต่อไป ยางอาจแตกระเบิดได้ หรือถ้าเกิดบาดแผลขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของยาง โดยบาดแผลนั้นมีความลึกจนถึงโครงสร้างภายในยาง และมีความกว้างของบาดแผลมาก (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางบาดแผลเกินกว่า 10 มิลลิเมตร) ก็ไม่ควรที่จะทำการปะซ่อม ให้เปลี่ยนยางใหม่ได้ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่เกิดบริเวณแก้มยาง ห้ามทำการปะซ่อมและนำกลับมาใช้งานต่ออย่างเด็ดขาด


5.คุณรู้หรือไม่ การเปลี่ยนยางเพียงเส้นเดียว ควรจะไว้ที่ตำแหน่งใด
หากคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนยางเพียงเส้นเดียว ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม ควรจะเอายางเส้นใหม่ที่เปลี่ยนไปไว้ตรงตำแหน่งไหนดี ซึ่งถ้าหากว่าเป็นการเปลี่ยนยางที่ละ 2 เส้น แน่นอนว่ายางคู่ใหม่ที่เปลี่ยนนั้นจะต้องนำไปไว้ที่ล้อคู่หน้า โดยไม่ว่าจะเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม
แต่การเปลี่ยนยางเพียงเส้นเดียว ให้คุณเอายางเส้นที่เปลี่ยนใหม่ไปไว้ที่ ล้อหน้าด้านซ้าย ด้วยเหตุผลที่ว่ายางใหม่ที่จะเปลี่ยนต้องอยู่ที่ตำแหน่งล้อหน้าเสมอ เพราะล้อหน้าด้านซ้ายนั้นมักจะเป็นล้อที่ต้องรับน้ำหนักมากกว่าล้อหน้าด้านขวา ตามสภาพการลาดเอียงของถนนทั่วไปในเมืองไทย อีกทั้งสภาพถนนบริเวณไหล่ทางมักไม่ค่อยเรียบ ยางจึงต้องมีสภาพสมบูรณ์ดี พร้อมใช้งานตลอด
แต่มีข้อแม้ว่ายางเส้นใหม่ที่เปลี่ยนจะต้องมีความสูงของดอกยางใกล้เคียงกันกับยางคู่หน้าของเดิม เพื่อการบังคับพวงมาลัยได้ดีเช่นเดิมแต่ถ้าหากว่ายางเส้นเก่าที่ติดรถอยู่นั้นมีดอกยางที่สึกไปมาก จนทำให้ความสูงของดอกยางเก่ากับใหม่ต่างกันมากเกินไป ก็ให้เอายางใหม่ไปไว้ที่ล้อหลังด้านซ้ายก็ได้เช่นกัน


6.เลือกยางอย่างไรให้เหมาะกับฤดูฝน
"รถลื่นไถล" เป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้รถหลาย ๆ คน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน และมักจะนำมาซึ่งความเสียหายในหลาย ๆ ด้านทั้งตัวเองและผู้อื่น ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหานี้ ไม่ใช่เพียงเพราะน้ำฝนที่เจิ่งนองบนถนนเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสิ่งสกปรกบนท้องถนนอีกด้วย เช่น เศษดินโคลน และคราบน้ำมัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีคุณสมบัติเป็นตัวลดแรงเสียดทาน ทำให้แรงเสียดทานระหว่างพื้นถนนกับยางลดลง ซึ่งจัดได้ว่าเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามขับขี่รถยนต์ด้วยความระมัดระวังแล้วก็ตาม ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่พอจะช่วยคุณ และยังเป็นปัจจัยที่คุณสามารถควบคุมได้ ก็คือ การเลือกยางให้เหมาะสมนั่นเอง
บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ต่างออกแบบลวดลายของยางให้หลากหลาย เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้เลือกใช้ตามสภาพการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป โดยต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝนนี้
ดอกบล็อก (Block Pattern) เป็นยางที่มีประสิทธิภาพในการขับขี่และการเบรกบนถนนเปียกและแห้ง โดยจะมีลวดลายของดอกยางที่แยกเป็นอิสระแก่กัน เพื่อเพิ่มความฝืดและรีดน้ำ ช่วยทำให้ควบคุมพวงมาลัยได้ง่ายขณะที่ขับผ่านบริเวณถนนเปียก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว ไม่เกิดการลื่นไถล อีกทั้งดอกยางยังระบายความร้อนได้ดีอีกด้วยดอกยางแบบบล็อกอีกหนึ่งประเภทที่คุณสามารถเลือกใช้ในหน้าฝนนี้ ได้แก่ ยูนิ-ไดเร็กชั่น แพทเทิร์น (Uni-Direction Pattern) ลายดอกยางจะเป็นร่องยาวขนานกันไปทั้งด้านซ้ายและขวาในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีลูกศรที่แก้มยางบอกทิศทางการวิ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยในส่วนของการยึดเกาะถนนและเบรกแล้ว ประสิทธิภาพในการรีดน้ำยังดีเยี่ยมอีกด้วย ทำให้รถยนต์สามารถทรงตัวได้เป็นอย่างดีในกรณีที่มีน้ำขัง ซึ่งยางชนิดนี้เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงโดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากใส่ยางกลับทิศทางการหมุนที่กำหนด ก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของยางให้ลดน้อยลง
สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์บางท่านที่เห็นว่าการเปลี่ยนยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละฤดูนั้น อาจจะดูเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยมาก เนื่องมาจากว่าประเทศไทยมีถึง 3 ฤดูด้วยกัน ดังนั้นการเลือกใช้ยางรถยนต์ประเภทที่เหมาะสมกับทุกสภาพถนนในทุกฤดู ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
ออล เทอร์เรน แพทเทิร์น (All Terrain Pattern) เป็นลักษณะดอกบล็อกอีกแบบหนึ่ง ชื่อของดอกยางประเภทนี้ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นยางรถยนต์ที่เหมาะสมกับทุกสภาพถนนในทุกฤดู เพราะมีการออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมบนทุกสภาพถนนในทุกฤดูตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนเปียกในฤดูฝน หรือถนนแห้ง ตลอดจนสภาพถนนที่ขรุขระ แต่ว่าความสามารถในแต่ละด้านก็อาจจะสุ้ยางที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะไม่ได้ และอาจจะมีเสียงรบกวนมากกว่าอย่างชนิดอื่นบ้างเล็กน้อย


7.ลมยาง สามารถช่วยคุณได้ !!!
ลมยางรถยนต์นั้น มีประโยชน์มากมายถ้าหากใช้ได้ถูกต้อง สามารถช่วยคุณได้หลายอย่าง
ทั้งช่วยประหยัดน้ำมัน
ช่วยรับน้ำหนักบรรทุกของรถคุณ
อีกทั้งยังช่วยให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ดีอีกด้วย
ซึ่งเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุให้น้อยลงอีกด้วย
ดังนั้นการสูบลมยางที่ถูกต้อง และเหมาะสมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
การสูบลมยางน้อยกว่าความเหมาะสมนั้น มีผลทำให้อายุยางลดลง บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น เกิดความร้อนสูงบริเวณไหล่ยาง ทำให้เนื้อยางไหม้และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน ส่งผลให้ยางบวมล่อนและระเบิด นอกจากนั้นอาจทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ รวมไปถึงการสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย
ส่วนการสูบลมยางมากเกินไปนั้น ก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน เพราะอาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่ เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อย อายุยางก็จะลดน้อยลง เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น และทำให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
ดังนั้น เราจึงควรหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับลมยางให้มากขึ้น โดสอบถามข้อมูลและข้อแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับลมยางได้จากบริษัทผู้ผลิตยางนั้น ๆ


8.การเปลี่ยนขนาดของขอบกระทะล้อมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
การเปลี่ยนขนาดของขอบล้อและยางนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนให้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้นหรือน้อยลงก็ตาม มีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น
สำหรับรถยนต์ที่เพิ่มขนาดของขอบกระทะล้อให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม เช่น จากขนาด 14" ไปเป็นขนาด 15" ก็จะต้องเปลี่ยนขนาดยางด้วยเช่นกัน ซึ่งยางที่เปลี่ยนใหม่นี้ จะต้องลดขนาดของแก้มยาง (ซีรี่ส์) ลงจากเดิม เพื่อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยางใกล้เคียงกับยางขนาดเดิมให้มากที่สุด เพื่อรักษาระดับความสูงของตัวรถยนต์ให้คงเดิมนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ยางขนาดเดิม คือ 185/65R14 จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 598 มม. ยางขนาดใหม่ควรเป็น 195/55R15 ซึ่งจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 593 มม. ซึ่งทั้ง 2 ขนาดนี้จะใกล้เคียงกันมาก ทั้งนี้จะยังคงรักษาการทำงานของเครื่องยนต์ ให้สามารถทำงานได้ตามปกติ ได้แก่ อัตราเร่ง และความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงรวมทั้งมาตรวัดความเร็วไม่คลาดเคลื่อนไปจากมาตรฐานเดิม
แต่สำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม เช่น รถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อแท้ ๆ รวมทั้งรถกระบะขับเคลื่อน 2 ล้อที่ตกแต่งให้ดูคล้ายกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ มักจะนิยมเปลี่ยนขนาดกระทะล้อ และยางให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม (Over Size) โดยจะไม่คำนึงถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยางและผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์ ดังที่กล่าวมา เพราะต้องการให้ยางมีขนาดแก้มยางที่สูงขึ้น ทำให้สามารถรองรับแรงกระแทกจากพื้นถนนที่ขรุขระ ทุรกันดารได้ดี อีกทั้งจะทำให้ระดับของตัวรถยกสูงขึ้นจากเดิม เพิ่มความมั่นใจขณะขับขี่ ลุยป่า หรือข้ามลำธารตื้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
การเปลี่ยนขนาดของกระทะล้อและยางให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมนั้น พอที่จะสรุปถึงข้อดีและข้อเสีย ได้ดังนี้
สำหรับรถยนต์ที่เปลี่ยนกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น แต่ใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยางต่ำลง (ซีรี่ส์ต่ำ)
มีข้อดีก็คือ ช่วยเพิ่มการทรงตัวและยึดเกาะถนน ขณะที่ใช้ความเร็วบนทางตรงและทางโค้งได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยให้การเบรกรถทำได้ไวกว่าเดิมอีกด้วย
ส่วนข้อเสียก็คือ เนื่องจากต้องใช้แก้มยางที่ต่ำลง จึงทำให้ความนุ่มนวลของยางในขณะขับขี่ลดน้อยลงกว่าเดิม และจะทำให้ช่วงล่างของรถยนต์สึกหรอได้เร็วกว่าปกติ
ส่วนรถยนต์ที่เปลี่ยนขนาดกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น และใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยาง (ซีรี่ส์) เท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้น
ข้อดีก็คือ ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนทางที่ขรุขระ
โดยมีข้อเสียคือ อัตราเร่งอาจลดต่ำลงกว่าเดิม และมาตรวัดความเร็วจะอ่านได้คลาดเคลื่อนจากความเร็วจริง ๆ และการทรงตัวในขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงก็จะไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
โดย: เต่าฟ้า   วันที่: 22 Nov 2004 - 10:52