ทางรอดสุดท้ายของมิตซูบิชิ
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 24 กันยายน 2547 18:33 น.
บริษัทรถยนต์ที่กำลังหนีตายจากสภาพล้มละลายสำหรับปีนี้ คงหนีไม่พ้นมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น หรือ เอ็มซีซี ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 4 แห่งญี่ปุ่น เพราะต้องเผชิญกับปัญหาที่สั่งสมมากมาย อีกทั้งเมื่อปลายเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ยังถูกลอยแพโดยพันธมิตรสำคัญอย่างเดมเลอร์ไครสเลอร์ ซึ่งตัดความ ช่วยเหลือทางด้านการเงิน ทั้งๆ ที่ความช่วยเหลือของเดมเลอร์ ไครสเลอร์เกือบจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยดึงมิตซูบิชิออกมาจากปลักโคลนไม่ให้จมลงไป
แถมในอีก 2-3 เดือนต่อมา มิตซูบิชิยังต้องเผชิญกับวิกฤตศรัทธาของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นอีกครั้ง หลังจากฟูโซ่ ซึ่งเคยเป็นบริษัทที่มิตซูบิชิถือหุ้นอยู่ก่อนขายไปให้กับเดมเลอร์ ไครสเลอร์ จำเป็นต้องเรียกรถกลับคืนมา (Recall) เพราะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุทำให้มีคนเสียชีวิต โดยที่ผู้บริหารของบริษัทยังถูกขึ้นบัญชีดำอีกว่า อาจจะปกปิดความบกพร่องของตัวรถ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่มิตซูบิชิต้องเจอกับปัญหาเช่นนี้หลังประสบปัญหาเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายทศวรรษที่ 1990 และตกเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ลดลงทั่วโลกราวกับติดจรวด
ขาดทุนสะสมและปัญหาเรื้อรัง
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามิตซูบิชิมีสภาพไม่ต่างจากนิสสันในยุคก่อนฟื้นฟู เพราะตัวเลขในบัญชีสีแดงถึง 4 ปีในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดสภาพการขาดทุนสะสมจนนำไปสู่ปัญหาในที่สุด ซ้ำร้ายมิตซูบิชิยังต้องเจอกับปัญหาในเรื่องอื้อฉาว จากการทำงานที่บกพร่องของผู้บริหาร ซึ่งไม่ยอมเรียกรถยนต์กลับคืนมาซ่อมแซม จนเป็นเหตุให้เกิดปัญหา และลุกลามไปจนทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาที่ส่งผลต่อเนื่องกับยอดจำหน่าย ที่ไม่เฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่รวมถึงทั่วโลกเลยทีเดียว
ปัจจัยสู่การอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้มิตซูบิชิจำเป็นต้องฟันฝ่าปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง และโยอิชิโร โอคาซากิ ซีอีโอของ มิตซูบิชิที่ดูแลปัญหาทางด้านการเงินได้ให้ความเห็นถึงความเป็นไปได้ ที่มิตซูบิชิใช่จะถึงกับปิดประตูอยู่รอด แต่ยังมีทางออกสำหรับก้าวข้ามวิกฤตที่เกิดขึ้น เพียงแต่จะต้องบรรลุความสำเร็จของปัจจัยทั้ง 4 ประการให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ข้อแรกที่โอคาซากิกล่าวถึงคือ พยายามสร้างกำไรจากการขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด ซึ่งใครก็รู้ดีว่าตลาดเมืองลุงแซมมีขนาดใหญ่แค่ไหน ซึ่งยอดจำหน่าย 16-17 ล้านคันต่อปี ขอเพียงแค่มิตซูบิชิรักษาส่วนแบ่ง ในตลาดเอาไว้ และคอยจังหวะในการเพิ่มยอดให้ได้ ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเกือบทุกรายกวาดกำไรจากตลาดสหรัฐอเมริกากันเป็นล่ำเป็นสัน ถ้ามิตซูบิชิไม่สามารถจัดการกับปัญหายอดจำหน่ายที่ลดลงในตลาดกลุ่ม นี้ให้ได้ งานนี้มีหวังไปไม่รอดอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าลืมเรื่องการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มาช่วยกู้วิกฤตไปเลย เพราะเงินทุนในการพัฒนามีไม่เยอะ แถมยังไม่สามารถการันตีได้ว่าของใหม่จะมาช่วยยอดขายได้มากน้อยแค่ไหน และมีการชี้แนะว่า หากมิตซูบิชิต้อง การให้ตัวเลขกลับมามีสีดำจำเป็นที่จะต้องรุกตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แทน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ากลับมาเดินตามโชว์รูมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เหมือนอย่างที่มาสด้าเปิดตัวคอนเซ็ปต์ "ซูม-ซูม" ซึ่งช่วยกระตุ้นความสนใจจากลูกค้าได้เป็นอย่าง และที่สำคัญคือ อย่าพยายามไปแข่งขันกับโตโยต้า และฮอนด้าเป็นอันขาด
ญี่ปุ่น คือสิ่งที่ลืมไม่ได้
ข้อต่อไปที่มิตซูบิชิจะต้องทำให้ได้คือ การเพิ่มยอดจำหน่ายในญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขร่วง ลงมาถึง 52.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ลงมาอยู่ที่ 15,862 คัน ส่วนแบ่งในตลาดลดลง 1.3% จากเดิมสูงถึง 6.3% ในปีที่แล้ว นี่คือการบ้านที่ทีมงานของมิตซูบิชิจะต้องแก้ให้ได้ ผู้บริโภคญี่ปุ่นไม่ศรัทธาในชื่อเสียงและรถยนต์ของมิตซูบิชิอีกแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่ามิตซูบิชิปกปิดข้อบกพร่องของรถมานานถึง 30 ปี จนกระทั่งเรื่องแดงมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีคนเสียชีวิต 2 คน ทำให้ภาพลักษณ์ของมิตซูบิชิติดลบในความคิดของคนญี่ปุ่น
ปัญหาตรงจุดนี้หลายฝ่ายเปรียบเทียบว่ารุนแรงกว่าที่นิสสัน หรือเฟียตเคยเจอ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับภาพพจน์และความรู้สึกของคน ซึ่งบางทีเงินไม่ใช่เงื่อนไขที่สำคัญของการแก้ปัญหา
ข้อที่ 3 ของการแก้ไขปัญหา คือ การคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามารับหน้าที่แก้ปัญหา ซึ่งจะต้องเลือกให้ถูกต้องและมีความสามารถจริงๆ และในตอนนี้ต้องอย่าลืมว่า มิตซูบิชิสู้และแก้ไขเพียงลำพังโดยที่ไม่มีเดมเลอร์ไครสเลอร์หนุนหลังแล้ว
ทางออกสุดท้ายที่จีน
ตลาดรถยนต์จีนเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันจะเข้าไปเจาะตลาด เนื่องด้วยความสดใหม่ของตลาดและจำนวนลูกค้าที่มีมากมาย โอคาซากิให้ความเห็นว่ามิตซูบิชิจำเป็นที่จะต้องรุกตลาดจีนให้หนักและต่อเนื่อง รวมถึงชิงความได้เปรียบจากคู่แข่งให้ได้มากที่สุด
นอกจากนั้น มิตซูบิชิจำเป็นที่จะต้องมองหาพันธมิตรใน การร่วมพัฒนารถยนต์เพื่อลดต้นทุนทั้งในเรื่องเวลาและเงินทุน และแน่นอนว่าตัวเลือกที่มีอยู่คงไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป หรือเกาหลีใต้ แต่จำเป็นที่จะต้องจับมือกับผู้ผลิตรถยนต์ ในจีน โดยเฉพาะรายใหญ่ๆ อย่าง เฟิร์สต์ ออโตโมทิฟ เวิร์ก หรือเอฟเอดับเบิลยู และเอสเอไอซี หรือเซี่ยงไฮ้ ออโตโมทิฟ คอร์ปอเรชัน ซึ่งจะเป็นฐานกำลังหลักให้มิตซูบิชิสามารถเจาะเข้า สู่ตลาดจีนได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
แม้ว่ากฎหมายของจีนจะจำกัดให้บริษัทรถยนต์ในประเทศจีนจับมือกับผู้ผลิตรถยนต์ต่างแดนได้ไม่เกิน 2 ราย แต่ ส่วนใหญ่ก็ยังเหลืออีก 1 พื้นที่ซึ่งยังเปิดกว้างสำหรับบริษัทรถยนต์ ต่างแดนรายอื่น และพร้อมที่จะจับมือกับบริษัทไหนก็ได้ซึ่งเอื้อประโยชน์อย่างสูงสุดทั้งในเชิงยอดจำหน่ายและเทคโนโลยี ซึ่งจะว่าไปแล้วมิตซูบิชิก็มีเทคโนโลยียานยนต์ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นเลย
แน่นอนว่า ทั้ง 4 ข้อคือ สิ่งที่มิตซูบิชิจำเป็นจะต้องทำให้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอด ซึ่งถ้าทำไม่ได้หรือทำได้แต่ไม่ทันเวลาแล้ว โอกาสที่มิตซูบิชิจะเหลือแต่ชื่อ และตกไปอยู่ใน มือของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ย่อมมีสูงอย่างยิ่ง
|