กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว
วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง
มันร้องครวญคราง เป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา
ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า...
เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา
ชาวนาจึงไปขอแรงชาว บ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ
ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
ครั้งแรกเมื่อดินไป ถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที
มันร้องโหยหวนทันที ...
สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบ
หลังจากที่ชาวนาตัก ดินใส่ไปในบ่อได้สักสองสามพลั่ว
ก็เหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า
ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง
แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบ บนดินเหล่านั้น
ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไรมันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าทุก คนต่างประหลาดใจ
ที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆ
ที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา
จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน
เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น
นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดได้ดีทีเดียว
ครั้งแรกเจ้าลาแก่ยังตกใจและร้องโหยหวน
แต่หลังจากนั้นเมื่อมันสงบและได้คิด
วิกฤตก็กลับกลายเป็นโอกาส
ถ้ามันยอมแพ้และรับความจริงตั้งแต่ตอนแรก
โดยไม่คิดจะดิ้นรน ชีวิตมันก็คงถูกตัดสินโดยคนอื่น